โบรกคาด‘SCC’ จ่อบุ๊กกำไร หลังเตรียมลดสัดส่วนถือหุ้นใน CAP

“SCC” เผยเตรียมลดสัดส่วนถือหุ้นใน “CAP” ที่อินโดนีเซียลง 10.57% หนุนราคาหุ้นดีดตัวขึ้น 3.25% “บล.เอเซีย พลัส” ประเมิน 5 ผลบวก “บล.กสิกรไทย” คาดมีกำไรขนาดใหญ่เข้ามา
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCGC) จะปรับสถานะการลงทุน ใน PT Chandra Asri Pacific Tbk หรือ CAP ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ที่ SCGC ถือหุ้น 30.57% จากเดิมที่เป็นบริษัทร่วมเป็นการลงทุนอื่น โดย SCGC อยู่ระหว่างเตรียมลดสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ลง 10.57% และลดการมีส่วนร่วมในการบริหาร CAP
โดยการปรับโครงสร้างการลงทุนครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการ “ลดภาระทางการเงิน” และ “เพิ่มความยืดหยุ่น” ให้กับ SCC ในอนาคต สะท้อนผ่านวานนี้ (12 มิ.ย.2568) ราคาหุ้น SCC ปรับตัวขึ้นโดดเด่นตลอดทั้งวัน มาปิดตลาดที่ 174.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 3.25% สวนทาง “ดัชนีหุ้นไทย” ที่ปิดตลาดร่วงแรง 12.96 จุด มาอยู่ที่ 1,128.62 จุด มูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) 32,483.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ CAP เป็นบริษัทในกลุ่ม Barito Group ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงาน, เคมี, และโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทมีโรงงานปิโตรเคมีครบวงจร และเป็นผู้ผลิต Olefins และ Polyolefins คุณภาพสูงเพียงแห่งเดียวในประเทศ และยังเป็นผู้ผลิต Styrene Monomer และ Butadiene รายเดียวในประเทศอีกด้วย
นายประสิทธิ์ รัตนกิจกลม นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยประเมินผลบวกดีลนี้ 5 ประเด็น คือ 1. SCC น่าจะมีกำไรจากการประเมินมูลค่าในราคายุติธรรมใน CAP จากการเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียเป็นเงินลงทุนระยะยาว 2.กำไรจากการขายหุ้น CAP 3. อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ลดลง จากการนำเงินไปชำระหนี้ 4. ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง และ 5. SCC ไม่ต้องแบกรับส่วนแบ่งขาดทุนตามส่วนได้เสียจาก CAP อีกต่อไป โดย SCC จะรับรู้เฉพาะเงินปันผลที่ได้รับจาก CAP เท่านั้น
ทั้งนี้ ด้านการประเมินผลกระทบในเชิงตัวเลขที่ชัดเจน น่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาส 2 ปี 2568 หรืออย่างช้า ไตรมาส 3 ปี 2568 เพราะต้องตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในการประเมินมูลค่ายุติธรรมของ CAP รวมถึงหาผู้ซื้อหุ้น CAP สัดส่วน 10.57% แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงความพร้อมของ SCC เพื่อเดินตามกลยุทธ์ลดภาระทางการเงิน
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การดำเนินตามกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมและผลบวกหลายด้านที่ตามมา ซึ่งมองว่าจะทำให้ SCC ผ่านวิกฤติได้ แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Outperform ราคาเหมาะสม 210 บาท
นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า มีมุมมองเป็นบวก เพราะว่า SCC จะมีการตีมูลค่ายุติธรรมของ CAP ใหม่ ซึ่งต้นทุนของ SCC ต่ำมาก น่าจะมี “กำไร” ขนาดใหญ่เข้ามา โดยตัวเลขยังอยู่ในการประเมินของบริษัท นอกจากนี้ นอกเหนือจากกำไรจากการตีมูลค่ายุติธรรม ณ วันซื้อขายจริงก็จะได้เงินมาลดหนี้
ส่งผลให้สัดส่วน Net debt/EBITDA ปรับตัวดีขึ้นอย่ามีนัยสำคัญ โดยมองว่าปัจจัยดังกล่าวส่งผลบวกต่อราคาหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 178 บาท มี upside จากรายการพิเศษดังกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กล่าวว่า มีมุมมองเป็นบวกกับดีลนี้ของ SCC ทั้งนี้ CAP เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย (IDX) มี Market Cap ราว 54.5 พันล้านดอลลาร์ หากขายหุ้นออก 10.57% ตามราคาตลาดจะได้เงินเข้ามา 1.87 แสนล้านบาท แต่การขายหุ้นล็อตใหญ่ ราคาอาจมีส่วนลดจากราคาตลาด หากสมมติให้ขายออกที่ส่วนลด 10% ก็จะได้เงินเข้ามา 1.68 แสนล้านบาท คิดเป็นประมาณ 20% ของมูลค่าสินทรัพย์ของ SCC ทั้งหมดในสิ้นมี.ค. 2568 ซึ่งนับว่ามีนัยสำคัญ โดยบริษัทสามารถนำเงินไปลงทุนในธุรกิจอื่นได้อีกมากพอควร
สำหรับ ในไตรมาส 1 ปี 2568 ของ CAP มีผลขาดทุนเท่ากับ -25.6 ล้านดอลลาร์ และ SCC รับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนเข้ามาราว -250 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น 30.57% (จากที่ SCC มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568เท่ากับ 1,099 ล้านบาท) แต่เมื่อขายหุ้นออก 10.57% และการเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีจาก Equity income เป็นเงินลงทุนอื่น ทำให้ไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนจาก CAP อีก กำไรสุทธิของ SCC ก็จะดีขึ้น







