S&P 500 ปิดตลาดในแดนบวก หุ้น Oracle พุ่งแรง เงินเฟ้อต่ำดันดัชนี

ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดในแดนบวกในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจาก หุ้น Oracle ที่พุ่งสูงขึ้น รายงานเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำช่วยหนุนตลาดอีกแรง ความไม่แน่นอนทางการค้ายังถ่วง
ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทยว่า ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดในแดนบวกเมื่อวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจาก Oracle ที่พุ่งสูงขึ้น
ทำให้บรรดานักลงทุนมีความหวังมากขึ้น และหนุนให้กลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่เติบโต
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.38% และปิดที่ 6,045.26 จุด ขณะนี้ดัชนี S&P 500 ซี่งสะท้อนตลาดรวมอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเพียง 2% ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite
เพิ่มขึ้น 0.24% และปิดตลาดวันนี้ที่ 19,662.48 จุด ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 101.85 จุด หรือ 0.24% ปิดที่ 42,967.62 จุด
ราคาหุ้น Oracle พุ่งขึ้น 13% หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณสิ้นสุด 31 พ.ค. ซึ่งทำผลงานได้ดีทั้งด้านรายได้และกำไร และยังบ่งชี้ว่าจะมีการเติบโตของธุรกิจคลาวด์อีกในอนาคต ซาฟรา แคทซ์ ซีอีโอกล่าวในการประชุมทางโทรศัพท์ว่าด้วยความต้องการปัญญาประดิษฐ์ AI รายได้จากโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในปีงบประมาณ 2026 เพิ่มขึ้นจากการเติบโต 52% ในไตรมาสนี้ การพุ่งขึ้นของ Oracle ช่วยหนุนภาคเทคโนโลยี ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น
ในทางกลับกัน บริษัทโบอิ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้น30 ตัวในดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลงเกือบ 5% หลังจากเครื่องบิน Dreamliner 787 ของสายการบินอินเดีย Air India ตกหลังจากบินขึ้นได้ไม่นานโดยมีผู้โดยสาร 242 คนอยู่บนเครื่อง
เงินเฟ้อต่ำหนุนตลาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากนักลงทุนได้รับข้อมูลชุดใหม่ที่บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจสหรัฐยังมั่นคง ดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นตัววัดราคาอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า หลังจากลดลง 0.2% ในเดือนเมษายน นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยบริษัทดาวโจนส์ คาดว่าในเดือนที่แล้วจะเพิ่มขึ้น 0.2% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงในวันพฤหัสบดีหลังจากรายงานเงินเฟ้อออกมาต่ำ
ความไม่แน่นอนทางการค้ายังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม การขู่ขึ้นภาษีฝ่ายเดียวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนว่าจะช่วยถ่วงการปรับขึ้นของตลาด วอลล์สตรีทกำลังรอความคืบหน้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการค้า โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศเป็นประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่าเขายินดีที่จะขยายเส้นตายวันที่ 8 กรกฎาคมสำหรับการเจรจาการค้าให้เสร็จสิ้นกับประเทศต่างๆ ก่อนที่ภาษีที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ แต่การขยายเวลาอาจไม่จำเป็น
“ผมยินดี แต่ไม่คิดว่าเราจะมีความจำเป็นเช่นนั้น เราได้ทำข้อตกลงที่ดีกับจีนแล้ว” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว “เรากำลังทำข้อตกลงกับญี่ปุ่น เรากำลังทำกับเกาหลีใต้ เรากำลังเจรจาการกับหลายประเทศ ดังนั้น เราจะส่งจดหมายออกไปในอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ครึ่งถึงสองสัปดาห์ไปยังประเทศต่างๆ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าข้อตกลงคืออะไร เช่นเดียวกับที่ผมทำกับสหภาพยุโรป”
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุกรอบการเจรจาในอนาคตที่ลอนดอน หลังจากหารือกันสองวันในสัปดาห์นี้ แต่โครงร่างข้อตกลงที่คลุมเครือยังคงรอการอนุมัติจากทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ทั้งสองประเทศตกลงที่จะผ่อนปรนข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับโลหะหายากและนักเรียนต่างชาติที่เข้ามาเรียนในสหรัฐ
“เราคิดว่าปัจจัยหลักที่ผลักดันทิศทางตลาดและทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลคือการแก้ไขปัญหาภาษีศุลกากรและการเชื่อมโยงกับงบประมาณและเฟด และเราเห็นพาดหัวข่าวมากมายเกี่ยวกับการเจรจา การหยุดชะงัก หรือกรอบการทำงาน แต่เรายังคงไม่เห็นข้อตกลงการค้าที่ลงนามกันแม้แต่ฉบับเดียวระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรทางการค้า” ทอม ไฮนลิน นักยุทธศาสตร์การลงทุนอาวุโสจาก U.S. Bank Asset Management Group กล่าว
เขาเสริมว่า “ดังนั้นสำหรับเรา เรายังคงเห็นว่าเราอยู่บนฐานของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้า ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงกว้าง แต่ขาดการฝ่าวงล้อมที่ยั่งยืนจนกว่าจะได้ข้อสรุปทางการค้า”







