‘กลุ่มค้าปลีก’ ถูกพิษเศรษฐกิจซบทุบ โบรกเกอร์ชี้ ‘กำลังซื้อหด - มาตรการรัฐไร้ผล’ กดดันราคาหุ้นต่ำ

‘กลุ่มค้าปลีก’ ถูกพิษเศรษฐกิจซบทุบโบรกเกอร์ชี้ ‘กำลังซื้อหด-มาตรการรัฐไร้ผล’ กดดันราคาหุ้นต่ำ ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้าสู่ “ไฮซีซัน”
“กลุ่มค้าปลีก” กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และมาตรการรัฐที่ยังไม่ชัดเจน กระทบราคาหุ้นปรับตัวลงหนัก
“บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง เหตุภาษีทรัมป์ป่วน “บล.หยวนต้า” หวังครึ่งหลังเร่งใช้งบประมาณ และกระตุ้นเศรษฐกิจค้าปลีกฟื้นตัว “บล.พาย” มองบริโภคในประเทศยังไม่น่าจะฟื้นตัวเร็วๆ เหตุนักท่องเที่ยวหายไปมาก
“กลุ่มหุ้นค้าปลีก” กำลังเผชิญกับภาวะกดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐ และการบริโภคภายในที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มค้าปลีกปรับลดลงต่ำกว่าช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และการซ่อมแซมบ้านที่ได้รับผลกระทบชัดเจน ขณะที่ “กลุ่มสินค้าจำเป็น” ยังสามารถประคองตัวได้บ้าง
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดกำลังกังวลกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของภาษีทรัมป์ และที่สำคัญรัฐบาลยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจนหลังจากที่เบรกโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ออกไป
“การเติบโตเศรษฐกิจไทยระยะยาวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดัน จากที่เคยเติบโตในระดับ 3-4% ตอนนี้คาดว่าจะต่ำกว่า 3% และอาจจะไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำ ปัจจัยนี้ทำให้หุ้นค้าปลีกไม่สามารถซื้อขายในระดับราคาที่แพงได้”
ทั้งนี้ ตลาดโดยรวมยังคงซบเซา ประชาชนไม่กล้าใช้จ่าย ส่งผลกดดันให้ราคาหุ้นค้าปลีกปรับตัวลงมาต่ำกว่าช่วงโควิด-19 ทำให้ค่า P/E และ Valuation ถูกกดดันลง โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่ม Home Improvement เช่น GLOBAL DOHOME และ HMPRO ยังคงมีตัวเลขยอดขายสาขาเดิมในเดือนพ.ค.2568 ที่ติดลบอย่างมากส่วนหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ยังคงทรงตัวหรือลบน้อย เป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นอย่าง CPALL และ CPAXT ติดลบเพียงเล็กน้อยประมาณ 1% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ราคากลุ่มหุ้นค้าปลีกที่ปรับตัวลงมามากมองนักลงทุนสามารถเข้าทยอยสะสมได้ในกลุ่มสินค้า และบริการที่จำเป็น แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการถือครอง ซึ่งคาดแนวโน้มการฟื้นจะมีขึ้นได้ในครึ่งปีหลัง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาท ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะนำไปใช้ทำอะไรบ้าง รวมถึงช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนยอดขายของห้างร้าน และกลุ่มค้าปลีกได้
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกโดยรวมกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อ่อนแอ เนื่องจากได้รับผลกระทบหลักๆ จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ เศรษฐกิจที่หยุดชะงัก และการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวก็ซบเซาลง
ทั้งนี้ กลุ่มค้าปลีกประเภทการซ่อมแซมบ้าน หรือ Home Improvement กลับได้รับผลกระทบมากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีการชะลอการก่อสร้างลง รวมถึงการเกิดแผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของรัฐบาลก็มีความล่าช้าอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมของกลุ่มค้าปลีกอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด แต่มีความหวังว่ากลุ่มค้าปลีกจะฟื้นตัวได้ในอนาคตอันใกล้ โดยต้องรอดูว่ารัฐบาลจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท นำไปใช้ในส่วนใดบ้าง
“ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีการเร่งใช้งบประมาณ และกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะทำให้กลุ่มค้าปลีกกลับมาฟื้นตัวได้ แม้ปัจจุบันราคาจะอยู่ในจุดค่อนข้างต่ำสุดอาจเป็นจุดต่ำสุด ของรอบการลงทุน ทำให้เป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กลุ่มค้าปลีกที่มีความโดดเด่น และคาดว่างบไตรมาส 2 ปี 2568 จะยังคงดี ได้แก่ CPALL CPAXT และ CRC”
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลต่อไปว่า ในอดีตที่ผ่านมากลุ่มค้าปลีกเคยมีการเติบโตที่ดีจากปัจจัยสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวดี แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเข้ามาช่วยเสริมการบริโภค แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวชัด จากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ขณะที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงคาดว่าปีนี้น่าจะขยายตัวได้เพียงประมาณ 1%-1.5% เท่านั้น ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยโตได้ 3-4% และการส่งออกไทยเริ่มตึงตัว จึงทำให้กลุ่มค้าปลีกซบเซา
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นจะลดลงมามากจนดูเหมือนถูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน่าสนใจเสมอไป เพราะการที่หุ้นราคาถูกอาจสะท้อนว่านักลงทุนยังไม่เห็นโอกาส และราคาอาจจะลดลงไปได้อีก
ดังนั้นแนะนำนักลงทุนอาจจะต้องรอจังหวะที่เหมาะสม หรือรอให้เห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือเศรษฐกิจไทยที่กลับมาก่อนจึงค่อยพิจารณาเข้าลงทุน โดยเน้นไปที่กลุ่มสินค้าจำเป็นอย่างหุ้น CPALL และ BJC
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







