เปิดพอร์ต‘เจ็กกี้-ทิวา’ตุนกำไรหุ้นจีน แนะจับจังหวะลงทุน‘หุ้นไทย’ในวิกฤติ

เปิดพอร์ต‘เจ็กกี้-ทิวา’ตุนกำไรหุ้นจีน แนะจับจังหวะลงทุน‘หุ้นไทย’ในวิกฤติ

“มี่-ทิวา ชินธาดาพงศ์ เผยหุ้นไทย ผ่านจุดที่เรียกได้ว่า “สิ้นหวัง” และไม่น่าจะมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงอีกแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ Force Sell ได้หมดไปแล้ว แต่ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะ “ซึมๆ” จากปัญหาเศรษฐกิจ  ด้าน “เจ็กกี้-สุธน สิงหสิทธางกูร” ระบุ ตลาด“หุ้นเวียดนาม” ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ 4 ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความอดทนและการมองหาโอกาสระยะยาว

“กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์” จัดงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ ภายใต้กิจกรรม Workshop “Insight เซียนหุ้นอัจฉริยะ” ซึ่งมีสองนักลงทุนผู้คร่ำหวอดวงการลงทุน อย่าง “มี่-ทิวา ชินธาดาพงศ์ และ “เจ็กกี้-สุธน สิงหสิทธางกูร” ได้มาร่วมพูดคุยถึงเส้นทางความสำเร็จและมุมมองต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมภาพรวมพอร์ตลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ 

“เจ็กกี้-สุธน สิงหสิทธางกูร” นักลงทุน ให้มุมมองว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 พอร์ตการลงทุน “บวก 13%”  โดยมีสัดส่วนการลงทุนกว่า 61% ในหุ้นกลุ่มการศึกษาของจีน ซึ่งหลายตัวมีราคาต่อกำไร (P/E) ต่ำเพียง 2-3 เท่า และราคาลดลงจากมูลค่าที่เหมาะสม (Fair Value) กว่า 80-90% สะท้อนถึงการเป็นสินทรัพย์ที่ยังคงราคาถูกมาก แม้มี “ผลตอบแทน” ระดับ 13% นี้ ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ “หุ้นจีน” ที่เลือกลงทุน

โดยยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เลือกลงทุนในตลาดหุ้นจีน ถือเป็นเกมที่มีความท้าทายอย่างมาก หลังจากตัดสินใจหันมาลงทุนในตลาดหุ้นจีนสัดส่วน 80% ของพอร์ต ด้วยเป็นการเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดจีนเผชิญวิกฤติและถูกมองในแง่ลบอย่างหนัก แต่ในมุมมองส่วนตัวเชื่อว่ามีโอกาส “พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส” โดยมองว่าการลงทุนที่ดีคือการลงทุนในช่วงที่ตลาดดู “ขมุกขมัว น่ากลัว แต่ยังเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” และไม่ควรลงทุนในช่วงที่ตลาดรู้สึกสบายใจและทุกคนกำลังไล่ซื้อหุ้นกันด้วยความกลัวตกกระแส (FOMO) โดยเปรียบเทียบนักลงทุนที่ไล่ซื้อหุ้นใน “ตลาดขาขึ้น” เหมือน “ไก่ในฟาร์ม” ที่สุดท้ายจะถูกเชือดโดยไม่ทันตั้งตัว

ทั้งนี้ ยังแนะนำแนวคิดแบบ VC (Venture Capital) ที่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนเป็นระยะ แต่หากมีเพียงหุ้นตัวเดียวที่เติบโต “ก้าวกระโดด” ก็สามารถชดเชยขาดทุนทั้งหมดได้ “หุ้นเวียดนาม” ที่ต้องอดทนลงทุนในหุ้นขนาดเล็กกว่า 70 ตัวนานถึง 3 ปี ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ 4 ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความอดทนและการมองหาโอกาสระยะยาว

“หุ้นไทย” มีมุมมองว่า กลุ่มธุรกิจที่ต้องระวังในตลาดหุ้นไทย โดยยกตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกบางแห่งที่มีการปล่อยกู้และมีลูกหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะปกติของธุรกิจค้าปลีกที่ควรมี Cash Cycle ต่ำ สะท้อนถึงความจำเป็นในการวิเคราะห์งบการเงินและโมเดลธุรกิจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน

“มี่-ทิวา ชินธาดาพงศ์” นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย ให้มุมมองว่า พอร์ตลงทุนช่วง 5 เดือนแรกปี 2568 ยังบวกได้เพียงหลักเดียวราว 3-4% โดยยอมรับว่าได้อานิสงส์จาก “หุ้นจีน” ที่ปรับตัวขึ้น สวนทางกับ “หุ้นไทย” ที่ยังคงเป็นตัวถ่วงสำคัญในพอร์ตลงทุน แต่การทยอยเข้าซื้อเพิ่มช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากการปันผลและเงินลงทุนที่เข้ามา ทำให้สัดส่วนปัจจุบันลดลงเหลือ 5-6% เนื่องจากหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นขณะที่หุ้นไทยกลับปรับตัวลง

ในมุมมอง “หุ้นไทย” ยังคงผันผวน และ “แย่กว่าที่คาดไว้มาก” หากเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ราคาหุ้นกลับทำจุดสูงสุดใหม่ สะท้อนหุ้นไทยอาจเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างบางประการ โดยเฉพาะประเด็นการเมืองที่ยังคงเป็น “ปัจจัยกดดัน” หากปัจจัยเหล่านี้คลี่คลายลง หุ้นไทยก็ยังมีโอกาสที่จะดีดตัวกลับได้ เนื่องจากถูกดึงลงมามากเกินไป

แม้หุ้นไทยจะผ่านจุดที่เรียกได้ว่า “สิ้นหวัง” และไม่น่าจะมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงอีกแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ Force Sell ได้หมดไปแล้ว แต่ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะ “ซึมๆ” จากปัญหาเศรษฐกิจหลักๆ 2-3 ประการ โดยเฉพาะปัญหาที่ธนาคารไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ ทำให้เศรษฐกิจไม่เกิดการหมุนเวียน แต่เชื่อหากธนาคารสามารถตั้งหลักและมีนโยบายที่ดีขึ้น ตลาดก็จะถึงจุดต่ำสุด (Bottom) แต่ก็ไม่แน่ว่าตลาดจะเด้งกลับมารุนแรงหรือไม่อาจเป็นการซึมต่อไปมากกว่า

สำหรับ “ตลาดหุ้นจีน” แม้จะยังคงเป็นตลาดที่ “ถูกอยู่” แต่มองว่าไม่สามารถนำมาเทียบเคียงมูลค่า (Valuation) กับตลาดสหรัฐได้ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้น แนะนำลงทุนหุ้นจีนไม่ควรกระจายลงทุนผ่านกองทุนแบบ “เหมาเข่ง” แต่ควรพิจารณาเลือกลงทุนเป็นรายตัวที่มีการประเมินมูลค่าที่น่าสนใจ หรือเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีศักยภาพเติบโตระดับโลก

ขณะที่ “หุ้นเวียดนาม” แม้จะถูกต่างชาติขายหุ้นออกไปจำนวนมากเช่นเดียวกับไทยในปีที่แล้วและต่อเนื่องมาถึงปีนี้ แต่กลับกำลังจะทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) เนื่องจาก “พลังรายย่อย” ในเวียดนามที่เข้ามาเล่นหุ้นจำนวนมาก ปัจจุบันมีบัญชีหุ้นในเวียดนามทะลุ 10 ล้านบัญชี คิดเป็น 10% ของประชากร ซึ่งสูงกว่าไทยที่มีเพียงประมาณ 3 ล้านบัญชีที่ไม่ซ้ำกัน

ท้ายสุด “ทิวา” บอกว่า จำนวนนักลงทุนที่ยังน้อยในไทยเป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสในอนาคต หากเศรษฐกิจฟื้นตัวและคนไทยหันมาออมผ่านตลาดหุ้นมากขึ้น