‘ตั้งรับก่อนรุก‘ … กลยุทธ์ฝ่าวิกฤติ!! ’ตลาดบอนด์‘ ป่วน

ข่าวร้ายโลกเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เมื่อ “สหรัฐฯ สูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด” จากมูดี้ส์ในช่วง 90 วันที่สหรัฐฯ เจรจาภาษีตอบโต้ กับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยเฉพาะกับ “จีน”
จุดนี้อาจปมใหญ่ที่พลิกเกมให้สหรัฐฯ ตกเป็นฝ่ายรองขึ้นมา ...ช่วงเวลา 90 วัน เจรจาภาษีการค้า เป็นจุดเปลี่ยนของตลาดโลก ที่กระพริบตาไม่ได้จริงๆ
"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" CEO Jitta Wealth ชี้ว่า “มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐฯ ” เป็นพายุที่หนักกว่าภาษีทรัมป์ เมื่อโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงขึ้น อเมริกาเป็นตลาดใหญ่สุดของโลกและสกุลดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่วันนี้ อเมริกากำลังถูกสั่นคลอนจากในและนอกประเทศ
สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดลงทุนโลก หลังสหรัฐฯ ถูกมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ปรากฎว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ของสหรัฐฯ อายุ 30 ปี พุ่งทะลุ 5.15% เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นแรงรอบใหม่ สูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงเฉลี่ย 1.4-1.9% ในขณะที่การประมูลพันธบัตรสหรัฐฯ 20 ปี บอนด์ยีลด์ เพิ่มขึ้นมาที่ 5.104% จากครั้งก่อนที่ 4.81% นักลงทุนคงเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ กันอย่างต่อเนื่อง
" ทั้งๆ ที่ พันธบัตรสหรัฐฯ คือสินทรัพย์ที่ทั่วโลกถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ร่วงลงตามด้วย ต้องยอมรับว่า ปีนี้ Sell America ไม่จบง่ายๆ หลังจากที่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สร้างผลตอบแทนพุ่งขึ้นไปแรงเกินคาดจนค่า พี/อี ตลาดอเมริกาพุ่งไปถึง 24 เท่าแล้ว ขณะที่มีความเสี่ยงรุมเร้าอยู่ในอีกหลายๆ ปี หากมองไปข้างหน้า โอกาสที่หุ้นจะปรับฐานก็มีแน่นอน"
ความเคลื่อนไหวตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.548% ยีลด์ บอนด์ อายุ 30 ปี อยู่ที่ 5.018% ทั้งนี้บอนด์ยีลด์ และราคาพันธบัตร จะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
การพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์ แน่นอนว่า จะส่งผลให้ชาวอเมริกันต้องแบกรับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นโดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับที่อยู่อาศัย รถยนต์ บัตรเครดิต ต่างก็ปรับตัวขึ้นตาม นี่คือผลกระทบต่อตลาดบอนด์สหรัฐฯ ในช่วงที่ถูก มูดี้ส์ ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงแล้ว
"ตราวุทธิ์" กำลังสะท้อนให้เห็นภาพชัดว่า ทำไมถึงบอกว่า “มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐฯ” เป็นพายุที่หนักกว่าภาษีทรัมป์ครับ ซึ่งเพียงช่วงเวลา 1 เดือน ภาพตลาดบอนด์ที่พลิกข้างเปลี่ยนเกมอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 1 เดือนจากที่คนแห่ซื้อบอนด์สหรัฐฯ กันต้นเดือนเม.ย. แต่แล้วก็แห่เทขายออกเมื่อต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งๆ ที่ โดยพื้นฐานการลงทุนพันธบัตรจะมีความผันผวนที่ต่ำกว่าหุ้นอยู่แล้ว เนื่องด้วยปัจจัยหลักที่มีนัยต่อการลงทุนพันธบัตร คือ เรื่องของทิศทางดอกเบี้ย และเมื่อเกิดปัจจัยป่วนโลก “ภาษีทรัมป์” อีก ทำให้ตลาดบอนด์เกิดความผันผวนสูง เกิดภาวะผิดธรรมชาติของตัวพันธบัตรที่ปกติผลตอบแทนปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามสภาพสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ
ต่อมาดูเรื่องของทิศทางดอกเบี้ยโลก
อย่างที่บอกสหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกเพราะผูกการค้าด้วยสกุลดอลลาร์กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จึงมีนัยต่อโลกการค้าและโลกลงทุนครับ และแต่ละเดย์ ทั่วโลกจะเฝ้ารอหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
สัญญาณล่าสุดของ “Jerome Powell” ประธานเฟด บอกชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และนโยบายการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพราะความเสี่ยงเงินเฟ้อพุ่งสูงจากการ “ช็อกด้านอุปทาน” อาจเกิดได้บ่อยขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้น ต้องมีการทบทวนกรอบนโยบายการเงินของเฟด
เขายังตอกย้ำว่า เฟดยังคงไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมปิดประตูดอกเบี้ยใกล้ 0%
สำหรับการทบทวนกรอบนโยบายของเฟดในรอบนี้ เฟดจะวางแผนระยะ 5 ปีเพื่อกำหนดแนวทางการพิจารณาหลายๆ ปัจจัยเพื่อใช้ในการตัดสินใจนโยบาย พร้อมกับวิธีการสื่อสารความคาดหวังในอนาคตกับสาธารณะและจะทบทวนสิ่งที่สามารถปรับปรุงจากกรอบนโยบายเดิม พร้อมคาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เสียงเตือนของประธานเฟด ทำตลาดการเงินทั่วโลกสะเทือนทั้งตลาดหุ้นร่วงและตลาดพันธบัตรถูกเทขาย เมื่อเศรษฐกิจโลกไร้แนวต้าน ต้องทำใจอยู่กับดอกเบี้ยสูง ความเสี่ยงซ้ำซากทั้งเหตุสงคราม ภัยธรรมชาติ นโยบายภาษี สงครามการค้า ตอกย้ำเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ “ยุคความไม่แน่นอนถาวร” ไทม์ไลน์ 90 วันของการเลื่อนใช้ภาษีทรัมป์ ที่จะสิ้นสุดวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ โดยเมื่อต้นเดือนพ.ค.นี้ สหรัฐฯ ประกาศว่าเจรจาดีลกับสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ได้แล้ว
ขณะที่ญี่ปุ่นยังเจรจาไม่ลงตัว ทั้งๆ ที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน และญี่ปุ่นเป็นลูกไล่มาตลอด ส่วนจีนจะเปิดฉากเจรจาในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งผมมองว่า ท้ายที่สุด การเจรจาของ 2 มหาอำนาจนี้ น่าจะได้ข้อตกลงร่วมกัน เพียงแต่จะ wi-win ระดับใด ต้องรอกันต่อไป
แต่ทราบมั้ยว่า ทั้งสามประเทศ “อังกฤษ จีนและญี่ปุ่น” เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ ผ่านการถือพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ระบุว่า ยอดถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นรวม 2.331 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนหน้านี้ จีนเคยเป็นผู้ถือพันธบัตรรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จนกระทั่งปี 2562 ญี่ปุ่นได้ขึ้นมาแทนที่ ล่าสุด บลูมเบิร์กระบุว่า สหราชอาณาจักรได้แซงหน้าจีนในเดือนมี.ค. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษ ส่งผลให้จีนร่วงไปอยู่ที่อันดับ 3 ส่งผลให้ประเทศที่เพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนมี.ค. ได้แก่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร แคนาดา และเบลเยียม
ในขณะที่หลายประเทศเพิ่มการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ จีนกลับลดลงต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมถือครองอยู่ที่ 7.65 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 7.84 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า และห่างไกลจากระดับสูงสุดที่จีนเคยถือไว้กว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือลดลงราว 50%
นักวิเคราะห์เชื่อว่าแนวโน้มนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะจีนเริ่มทยอยลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าสหรัฐฯ -จีน รอบแรก และความพยายามของจีนในการกระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์สหรัฐ
ญี่ปุ่น เป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด อยู่ที่ 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนสหราชอาณาจักร ขยับขึ้นเป็นอันดับ 2 แซงหน้าจีนในรอบ 20 ปี ด้วยยอดถือครอง 7.79 แสนลานดอลลาร์
ขณะที่การถือครองของประเทศอื่นยังเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ท่าทีของจีน จึงสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ใหม่ที่กำลังเดินหน้าอย่างเงียบๆ ในการลดบทบาทเงินดอลลาร์ในระบบการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ตลาดโลกไม่อาจมองข้ามได้
สำหรับภาพรวมเดือน มี.ค. กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า มีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิจากต่างชาติถึง 123 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ 106.2 พันล้านดอลลาร์ โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรเอกชน และหุ้นสหรัฐฯ
การไหลเข้าอย่างต่อเนื่องนี้ สะท้อนว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความไม่แน่นอน แต่ สหรัฐฯ ยังถูกมองว่าเป็น “ท่าเรือปลอดภัย” สำหรับนักลงทุน
แต่อย่างไรก็ตาม เราคงยังต้องติดตามข้อมูลของเดือน เม.ย. เนื่องจากเป็นช่วงเดือนที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เผชิญความผันผวนอย่างหนัก แม้ต้นเดือนเม.ย. บอนด์ยีลด์ลดลง สะท้อนแรงซื้อ แต่ก็ดีดขึ้นในระหว่างเดือน โดยเฉพาะช่วงที่จีนตอบโต้มาตรการภาษีใส่สหรัฐฯ อย่างดุดัน บรรยากาศอึมครึม ดันบอนด์ยีลด์ปรับตัวพุ่งขึ้น จากแรงเทขายพันธบัตรออกมา
ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีแรงเทขายจากภาคเอกชนของญี่ปุ่นที่ถือพันธบัตรสหรัฐฯ อาทิ ธุรกิจประกัน ที่ต้องบริหารพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงและทำกำไรก่อน ขณะที่ช่วงปลายเดือน นักลงทุนบางส่วนยอมขายบอนด์สหรัฐฯ ขาดทุน 12-15% ของราคาหน้าตั๋ว ทำให้ตลาดตีความ คนขายคิดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 12% (จึงขายเพื่อรอมาซื้อพันธบัตรฉบับใหม่ ที่คาดหวังได้ดอกเบี้ยมากกว่า) จากปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายราว 4.25% - 4.50%
แนวโน้มตลาดบอนด์สหรัฐฯ
หลังจากถูกมูดี้ส์หั่นเครดิตความน่าเชื่อถือลง อาจจะเกิดแรงเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ กันออกมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกองทุนที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะพันธบัตร Aaa อาจต้องโดนบังคับขาย และอาจจะต้องกดดันเฟดเข้ามารับซื้อบอนด์ของตัวเอง ซึ่งจะกระทบความเชื่อถือขนาดไหน
ในระยะข้างหน้า ตลาดบอนด์สหรัฐฯ อาจจะเข้าสู่ภาวะไร้ทิศทาง ทั้งจากปัจจัยเฟดที่ส่งสัญญาณดอกเบี้ยปรับขึ้น การปรับกรอบนโยบายการเงิน จุดเปลี่ยนของโลกจากภาษีทรัมป์ จีนปรับลดน้ำหนักถือสกุลดอลลาร์ลง โลกอาจกำลังตั้งคำถาม ความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างไร
Ray Dalio ออกโรงเตือนนักลงทุน อย่าหลงดีใจกับข่าวดีในระยะสั้น แต่ให้ระวัง "ยุคแห่งหนี้สิน" และความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะมากำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
โลกในวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว และแน่นอนว่าโลกการลงทุนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ตั้งแต่สงครามการค้าไปจนถึงการเปลี่ยนผู้นำระดับโลก เรากำลังอยู่ในยุคที่เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ล้วนเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนและยากที่จะคาดเดาได้ และความไม่แน่นอนคงจะเกิดขึ้นอีกหลายปีข้างหน้า
ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯเป็นท่าเรือที่ปลอดภัย
ระหว่างทางนับจากนี้ ผมเชื่อว่าจะมีนักลงทุนที่ปวดใจกับเงินลงทุนที่อยู่ในพอร์ต และลุ้นระลึกจะรอดหรือจะร่วงกันแน่ อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความไม่แน่นอน แต่ผมเชื่อว่า สหรัฐฯ ยังถูกมองว่าเป็น “ท่าเรือปลอดภัย” สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่อาจเผชิญความผันผวนได้เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทุกประเภท
“ตั้งรับก่อนรุก” เคล็ด(ไม่)ลับในการรับมือกับทุกสภาวะวิกฤติ
"ตราวุทธิ์" แนะว่า กลยุทธ์เรื่องแรกสำคัญสุด การวาง Mindset การลงทุนในภาวะวิกฤติ ไม่ว่าจะเจอวิกฤติใดๆ เกิดขึ้นทำคุณจิตใจอ่อนไหว คุณต้องยึดหลัก “ควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้”
เช่น ทำการบ้านอัพเดตสถานการณ์และข้อมูลการลงทุน หมั่นทบทวนการจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และระดับความเสี่ยงที่รับได้ และระยะเวลาการลงทุน
สิ่งสำคัญ อย่ายึดติดกับข่าวรายวันมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิด Panic Sell หรือ Over trade ได้ และโฟกัสที่ “Asset Allocation” มากกว่าการพยายามทำนายอนาคต พยายามมองวิกฤติให้เป็นโอกาส ศึกษาข้อมูลคว้าโอกาสลงทุนและใช้จังหวะตลาดขาลง เก็บ “ของดีราคาถูก” เข้าพอร์ต
เรื่องที่สอง กลยุทธ์ Core & Satellite Portfolio โดย Core เป็นพอร์ตลงทุนหลักที่เน้น “มั่นคงและเติบโตระยะยาว” โดยเลือกสินทรัพย์พื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น หุ้นทั่วโลกตามดัชนี (Global Equity) กองทุนรวมที่เน้นหุ้นเติบโตระยะยาว หรือกลุ่ม Megatrends ใช้นโยบายลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA เพื่อบริหารต้นทุนในระยะยาว และลดความเสี่ยงจาก market timing
Satellite เป็นพอร์ตย่อยเพื่อ “สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในช่วงโอกาสพิเศษ” ลงทุนตามธีมเศรษฐกิจที่ได้รับผลจากสงครามการค้า เช่น Defensive Stock (Utilities, Consumer Staples) หุ้นกลุ่มอาวุธหรือพลังงาน โดยใช้ Tactical Asset Allocation (TAA) เช่น การเพิ่มทองคำ หรือตราสารหนี้ระยะสั้นเมื่อความผันผวนสูง อาจใช้ ETF ที่เกาะกับธีม “De-Globalization” หรือการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังอาเซียน
การจัดพอร์ตลงทุนสำหรับนักลงทุนสาย VI ที่เติบโตมากับการลงทุนระยะยาวและเน้น “ลงทุนตามเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์”
"การลงทุนที่ดีในยุคที่ไม่แน่นอน ไม่ใช่การหาหุ้นเทพหรือทำนายตลาดได้แม่นยำ แต่คือการมีระบบคิดที่มั่นคงและการจัดพอร์ตที่ยืดหยุ่น" นี่คือ บทสรุปสำหรับนักลงทุนยุค Trade War 2.0
“Benjamin Graham” ต้นแบบบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) ที่คุณปู่ Warren Buffett ยึดถือเป็นต้นแบบการลงทุน ได้กล่าวไว้ว่า "อย่าจริงจังกับผลตอบแทนรายปีมากเกินไป แต่ให้โฟกัสที่ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะ 4-5 ปี"
"ตราวุทธิ์"บอกกับนักลงทุนเสมอขอให้ “ตั้งรับก่อนรุก” เพราะเป็นสิ่งที่คุณสามารถควบคุมมันได้ และจะทำให้คุณนอนหลับอย่างสบายใจ แม้วันนี้จะยังไม่ใช่จังหวะทำกำไร แต่มันจะพาคุณฝ่าทุกวิกฤติ เพื่อเป็นผู้ชนะในวันที่สถานการณ์โลกกลับสู่สมดุลใหม่ New World Order







