จาก LTF สู่ Thai ESGX ทางเลือกใหม่ "วัดผลตอบแทน - ความเสี่ยง"

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยแพร่บทความ โดย "ผศ.ดร. รัฐชัย ศีลาเจริญ " และ "ผศ.ดร. รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น" ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "การโยกเงินลงทุนจากกองทุน LTF สู่ ThaiESGX"
"ประเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้ถือหน่วย LTF ลังเลใจเกิดจากเงื่อนไขการถือหน่วย Thai ESGX ที่จะต้องถือต่อไปอีก 5 ปี” และกลัวว่าจะได้รับผลขาดทุนจากการลงทุนมากกว่าภาษีที่ประหยัดได้ ทำให้การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไม่คุ้มค่า บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านที่กำลังตัดสินใจว่าจะสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนหรือไม่ จะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสม เนื้อหาของบทความประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1. เงื่อนในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF 2. การวิเคราะห์ผลประโยชน์จากการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน และ 3.การวิเคราะห์ความเสี่ยง จากการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเงื่อนไขการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี ในปี 2568
โดยเฉพาะประเด็นที่ 2 "ผลประโยชน์ทางภาษีจากการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF และจุดคุ้มทุน" หลังการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนมีมูลค่าเท่ากัน ผู้ที่มีอัตราภาษีสูงจะลดหย่อนภาษีได้มากกว่าผู้ที่มีอัตราภาษีต่ำ และหากมีอัตราภาษีเท่ากันและมูลค่าการสับเปลี่ยนไม่เกิน 500,000 บาท ผู้ที่มีมูลค่าการสับเปลี่ยนสูงจะมีภาษีที่ลดหย่อนได้มากกว่าผู้ที่มีมูลค่าการสับเปลี่ยนต่ำ แต่หากมูลค่าการสับเปลี่ยนเกิน 500,000 บาท ภาษีที่ลดหย่อนได้จะมีค่าคงที่ เช่น ผู้ที่มีอัตราภาษี 10% และ 20% จะลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 และ 100,000 บาท ตามลำดับ
เงินลงทุนใน Thai ESGX จะต้องถือครองไว้เป็นเวลา 5 ปี ดังนั้นผลตอบแทนในอนาคตของกองทุน Thai ESGX จึงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ ที่อาจทำให้ภาษีที่ได้รับลดหย่อนไม่คุ้มค่ากับผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการลงทุน โดยจุดคุ้มทุนในที่นี้หมายถึงอัตราขาดทุนจากกองทุน Thai ESGX ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (Holding Period Return, HPR) ที่จะไปหักล้างผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากการสับเปลี่ยนกองทุนพอดี
ผู้ที่มีอัตราภาษีสูงนอกจากจะได้ประโยชน์จากการสับเปลี่ยนกองทุนมากกว่าผู้ที่มีอัตราภาษีต่ำแล้ว ยังมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนจากการสับเปลี่ยนที่ต่ำกว่าด้วย (กล่าวคือ ภาษีที่ประหยัดได้สามารถรองรับผลขาดทุนจาก Thai ESGX ได้สูงกว่า) อย่างไรก็ตามหากมูลค่าของการสับเปลี่ยนสูงกว่า 500,000 บาท ความเสี่ยงต่อการขาดทุนจากการสับเปลี่ยนจะสูงขึ้น เพราะภาษีที่ประหยัดได้ถูกจำกัดไว้ให้มีค่าคงที่
ด้านความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุน Thai ESGX มีการกำหนดให้มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านความยั่งยืนทั้ง 3 ปัจจัยได้แก่ 1. ด้านสิ่งแวดล้อม (E) 2. ด้านสังคม (S) และ 3. ด้านธรรมาภิบาล (G) ซึ่งสัดส่วนการลงทุนของกองทุน ESGX สามารถมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ESG ดี่ไม่น้อยกว่า 65% ของพอร์ตการลงทุนไปจนถึง 80% โดยกองทุน Thai ESGX ยังมีทั้งแบบการบริหารจัดการแบบเชิงรุก (active) ที่ผู้จัดการกองทุนมีการปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อเอาชนะดัชนี หรือการบริหารจัดการแบบเชิงรับ (passive) ที่มุ่งเน้นลงทุนตามดัชนีด้านความยั่งยืน ซึ่งกองทุนในลักษณะ passive มักจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า
หากวิเคราะห์ที่ “ความถูกแพงของราคาหลักทรัพย์” ในปัจจุบันจะพบว่าในปัจจุบัน ค่า P/BV ratio ของตลาดอยู่ต่ำเพียง 1.1 เท่า ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุน เพราะถือว่าราคาตลาดของหุ้นต่ำมาก โดยมีค่าสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีเพียง 10% เท่านั้น และค่า P/E ratio ก็มีลักษณะเดียวกันที่ในปัจจุบันลดต่ำลงมาที่ 15.7 เท่า เท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง “ราคาตลาดของหุ้นแทบจะไม่ได้สะท้อนโอกาสในการเติบโต” ของผลประกอบการในอนาคตเลย ดังนั้นในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ และตลาดเริ่ม price-in โอกาสในการเติบโต ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยน่าจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีกพอสมควร ดังนั้นการลงทุนในช่วงที่หุ้นมีราคาถูกเช่นนี้จึงเปิดโอกาสให้ได้กำไรในอนาคตได้
หากวิเคราะห์ที่อัตราผลตอบแทนจาก เงินปันผล ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนไทยมักจะคาดหวังจากการลงทุน จะพบว่าการซื้อหุ้น ณ ราคาปัจจุบันให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 4-4.5% ซึ่งเป็นระดับที่น่าดึงดูดใจในการลงทุนเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพียงประมาณ 2% ทำให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะได้รับเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังมีโอกาสได้กำไรจากราคาหลักทรัพย์ด้วย
กล่าวโดยสรุป ถึงแม้ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปี ของตลาดหลักทรัพย์ไทยจะติดลบ แต่ในปัจจุบัน ณ ระดับราคาของ SET index อยู่ในจุดที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนค่อนข้างมาก และสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ในอนาคต
หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 5 ปีข้างหน้ากลับมาเป็นปกติ และจากค่าสถิติย้อนหลังของผลตอบแทนการลงทุนช่วง 5 ปีก็จะพบว่า ความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนจากการลงทุนจะติดลบมากกว่า 5% ตลอด 5 ปีนั้นมีความน่าจะเป็นที่ต่ำกว่า 10% การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เป็น Thai ESGX จึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ