ดัชนี‘หุ้นESG’ดีกว่าตลาด แม้ThaiESGXแผ่ว โบรกมองบวกสะสมยาว

การลงทุนใน “ตลาดหุ้นไทย” ยังไม่ค่อยสู้ดีนัก สะท้อนความเสี่ยงไปพอสมควรแล้ว แต่ความไม่แน่นอนข้างหน้ายังคงสูง
โดยมีปัจจัยหลายด้านที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน มีทั้ง “แรงกดดันและความท้าทาย” ทำให้ดัชนีหุ้นไทยยัง “ซึม” หรือ “ปรับลง” และบางจังหวะกลายเป็น “โอกาส” ของการลงทุนระยะยาว
และหนึ่งใน ดัชนีหุ้นไทย อย่าง “ดัชนี SETESG” ภาพรวมผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน (27 พ.ค.2568) แม้จะปรับลดลง 14.98% แต่ดีกว่าเมื่อเทียบดัชนี SET INDEX ปรับลดลง 16.91% และ SET50 ปรับลง 16.28% แต่ถ้าหากในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี SETESG บวก 2.3% กับดัชนี SET บวก 2.2% ถือว่า “ยังอยู่ใกล้เคียงกัน”
โดยในเบื้องต้นสะท้อนถึงแรงหนุนจากเม็ดเงินไหลเข้า “กองทุน ThaiESGX” ยังถือว่า “จำกัด” ตลาดคาดการณ์กันว่า แรงซื้ออาจน้อยกว่า ที่ประเมินกันไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เม็ดเงินจะสลับมาจาก “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” (LTF) นั่นเอง
“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง มองว่า ดัชนีทั้งสองตลาดในระยะสั้น ยังโดนกดดันจากผลกระทบของกำแพงภาษีสหรัฐ โดยที่ความกังวลหนี้สหรัฐระดับสูง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูง “กดดัน” สินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานฯ จากแรงกดดันภาพเศรษฐกิจ ก่อนที่ตลาดหุ้นน่าจะฟื้นในปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปี 2568
การลงทุนในหุ้น ESG อาจมีข้อดีในระยะยาว เนื่องจากบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้มักมีแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืนและได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เน้นผสมกลุ่มหุ้นคุณภาพสูงและกำไรดี กับ กลุ่มเชื่อมเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ADVANC, GULF, KTB, OSP, SCC
“จิติพล พฤกษาเมธานันท์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Head of Global Investment Strategy บล. ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองว่า ดัชนี SETESG ปรับตัวลงน้อยกว่า ดัชนี SET สะท้อนว่าหุ้นที่มี ESG มีโอกาส Outperform SET จากธุรกิจระยะยาวที่ความเสี่ยงต่ำกว่า
แม้ว่าอานิสงส์จากกองทุน ThaiESGX คาดมีไม่มาก แต่ภาครัฐคาดหวังเม็ดเงินใหม่ราว 20,000 ล้านบาท ดังนั้น เม็ดเงินที่โยกจากกองทุน LTF ราว 50,000-80,000 ล้านบาท สำหรับหุ้นที่อยู่ใน SETESG ที่มองบวกระยะยาว ADVANC, GULF, BDMS, CPALL, OSP
“รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่วว่า ดัชนี SETESG ให้ผลตอบแทนที่ -13.9% เทียบจากต้นปี โดยมีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยวันละ 33,000 ล้านบาท หากนับเป็นรายหุ้น มีเพียงจำนวน 12 หุ้นจากหุ้นทั้งหมดในการคำนวนดัชนีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ซึ่งแยกเป็นรายอุตสาหกรรมได้แก่ กลุ่มอาหารที่ได้แรงหนุนจากผลประกอบการใน ไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดด้วยราคาหมูอยู่ในระดับสูงปรับตัวขึ้น ช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่ฝั่งต้นทุนอย่างกากถั่วเหลืองและราคาข้าวโพดในประเทศปรับตัวลดลงทั้งเชิง YoY และ QoQ ต่อด้วยกลุ่มธนาคารหลังจากรายงานกำไรออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อยจากรายได้ของการลงทุนที่สูงกว่าคาด
และกลุ่มสุดท้าย สื่อสารจาก synergy value และการประหยัดต้นทุนที่ออกมากดีกว่าที่คาด ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเนื่องด้วยผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์
ทั้งนี้ หุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดใน SETESG index ได้แก่ BTG (30.3%), BCPG (22.5%), CPF (15.1%) SAT (13.7%), TLI (7.1%)
ขณะที่กองทุน Thai ESGX ที่มีข้อกำหนดให้ลงทุนในหุ้น ESG ไม่น้อยกว่า 65% ของพอร์ตการลงทุน มองว่ากลุ่มที่มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากลงทุนของไทย ESGX ได้แก่ กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และกลุ่มอสังหา ที่คาดว่าจะมีการเพิ่มน้ำหนักขึ้นเมื่อเทียบดัชนี SET100
แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มเหล่านี้มี่แนวโน้มชะลอตัวใน ครึ่งปีหลัง2568 โดยที่กลุ่มธนาคารคาดว่าจะได้รับผลเชิงลบจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ติดลบ การเร่งตัวขึ้นของ credit cost โดยเฉพาะกลุ่ม SME และ สินเชื่อบ้าน
ขณะที่ กลุ่มค้าปลีกคาดว่าการบริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ เห็นว่า SSSG ในไตรมาส 2 ปี 2568 ชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2568 และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ความต้องการ (ดีมานด์) ที่อยู่อาศัยยังคงอ่อนแอ และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารคุมเข้มเพื่อลด NPL ขณะเดียวกันกองทุน Thai ESGX สามารถลงทุนทางเลือกเองได้เพิ่มเติมถึง 20% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งในมุมมองของเรามองว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนของ Thai ESGX ได้แก่ PR9, OSP, GULF, CK, BCPG ที่มีแนวโน้มของผลประกอบการแข็งแกร่งใน ครึ่งปีหลัง2568







