เตรียมรับแรงกระแทรกทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ ควรมีไว้ในพอร์ตเพื่อป้องกันการเสียโอกาสการลงทุน แนะนำสัดส่วนการลงทุน 10-15% ส่วนตลาดหุ้น ยุโรป และ ญี่ปุ่น สัดส่วนลงทุนรวมกัน 10% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 20% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% ที่เหลือลงทุนใน ทอง น้ำมัน และ รีทส์ รวมกันเป็น 10%
ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คุณโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังคงสร้างความปั่นป่วนในด้านนโยบายภาษีนำเข้า และเริ่มมีการพูดถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ FED อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าโดยรวมออกมาในเชิงประนีประนอม และระดับเพดานภาษีต่างก็ขยับลงมาอยู่ในระดับที่ต่างก็คาดการณ์กันได้ ทำให้พัฒนาการด้านการลงทุนโดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงดูเหมือนจะตอบรับในแง่ดีดูได้จากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากวันประกาศใช้ Reciprocal Tariffs ในวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศสำคัญทั่วโลก เช่น สหาราชอาณาจักรฯ และ จีน ก็ทำให้ภาพการลงทุนทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นโดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง เอารายงานมาดูกัน ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก อย่าง MSCI ACWI index ให้ผลตอบแทนเป็นเพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานำโดยดัชนีหลักอย่าง S&P500 ที่มีปรับขึ้นผล 4.2% ดัชนีหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก Russell 2000 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.9% และดัชนีหุ้นเทคโนโลยีอย่าง NASDAQ ปรับขึ้นมากถึง 7.4% ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็สามารถสร้างผลงานได้ดีเช่นกันโดยประเทศเยอรมัน ดัชนี DAX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%, ดัชนี STOXX600 และ CAC 40 รวมถึง FTSE100 สามารถปรับขึ้นได้ในช่วง 2-3% ส่วนตลาดเอเชียก็สามารถฟื้นตัวได้ดีโดยเฉพาะตลาดในเวียดนามที่ และตลาดไต้หวัน รวมทั้ง ฮ่องกง ก็ปรับขึ้น 6 - 7%
อย่างไรก็ตาม การใช้ Reciprocal Tariffs ก็หมายถึงภาษีที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน และปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศทั่วโลก ทำให้ความผันผวนทางการลงทุน มาวนเวียนอยู่ที่ความผันผวนที่มีต่อผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะรุ่นอายุ 30 ปี ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 5% เนื่องจากการปรับลด credit rating ของ Moody ต่อประเทศสหรัฐฯ จาก Aaa เหลือ Aa1 เนื่องจากหนี้สาธารณะและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการขาดดุลทางการคลังรวมถึงความล้มเหลวการดำเนินนโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร หรือจะใช้นโยบายทางการเงินแบบตึงตัวต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อที่เกิดจากการขึ้นกำแพงภาษีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ดังนั้น การประชุม FOMC รอบนี้ ก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ที่ 4.25 -4.5%
สำหรับแถบเอเชีย ก็มีข่าวบวกจาก จีน ภายหลังความสำเร็จต่อการเจรจาทางการค้าต่อสหรัฐฯ แต่ยังคงมีความเสี่ยงต่อการเติบโตที่ช้าลงโดยจีนได้มีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น ลดอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร (RRR) ลง 0.5% คาดว่าจะเพิ่มสภาพคล่องระยะยาวประมาณ 1 ล้านล้านหยวน, ปรับปรุงกฎเกณฑ์การจัดหาเงินทุนสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์, ขยายขอบเขตการลงทุนของกองทุนประกันภัยเปิดตัวแพ็คเกจสนับสนุนการเงินสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และภาคเอกชน นอกจากนี้ยังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2567
ในส่วนของประเทศไทย ประเด็นสำคัญส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องการเมือง ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจยังไม่มีความชัดเจนเหมือนว่ารัฐบาลกำลังรอการตัดสินใจบ้างอย่าง เครื่องมือทางการเงินและการคลังไม่ได้ใช้ แทบจะกล่าวได้ว่า ไม่ได้ทำอะไร สรุปว่าบรรยากาศการลงทุนเป็นไปตามปัจจัยต่างประเทศ แต่มีทิศทางที่แย่กว่าดูได้จากตลาดหุ้นที่ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่ SET Index ติดลบ ครับ
สำหรับมุมมองการลงทุนเดือน มิถุนายน คาดว่าการฟื้นตัวของตลาดโลกน่าจะเริ่มแผ่วลง ในขณะที่ประเทศไทยยังมีเรื่องการเมืองต่อไป โดยยังคงไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเหมือนเคย อย่างไรก็ดี ประเด็นบวกที่มีให้เห็นอยู่บ้างคือการส่งออกที่ได้รับผลพวงจากการเร่งตุนสินค้า การท่องเที่ยวน่าจะแผ่วกว่าปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่แผ่นดินไหวและตึกถล่มกลายเป็นจำเลยไป เรื่องการลงทุนและภาคอสังหาริมทรัพย์ สำหรับปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีแห่งการท้าทายครั้งใหญ่
อย่างไรก็ดี การจัดพอร์ตการลงทุนยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไว้ที่ 50% ในส่วนของตลาดต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯ ผมขอแนะนำกองทุนหุ้นต่างประเทศกองทุนใหม่ของ บลจ.วรรณ ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ รวมนางฟ้า 11 Sectors คัดเฉพาะหุ้น 5 ตัวท็อปจากแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งหมด 11 อุตสาหกรรมชั้นนำทั่วโลก ผมมองว่า ธีมการลงทุนของกองทุนนี้ ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกๆ สภาวะตลาด
ดังนั้นหากท่านที่ยังสนใจตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ ควรมีไว้ในพอร์ตเพื่อป้องกันการเสียโอกาสการลงทุน แนะนำสัดส่วนการลงทุนประมาณ 10-15% ควบคู่กับการกระจายการลงทุนกลุ่มอื่นๆ ส่วนตลาดหุ้น ยุโรป และ ญี่ปุ่น สัดส่วนลงทุนรวมกัน 10% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 20% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% (แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% ตลาดเงิน 10%) ที่เหลือลงทุนใน ทอง น้ำมัน และ รีทส์ รวมกันเป็น 10%







