มหาเศรษฐีย้ายประเทศ

มหาเศรษฐีย้ายประเทศ

กลุ่มเศรษฐีผู้ย้ายประเทศนี้ ยังเป็นผู้ลงทุนในตลาดหุ้น หรือเป็นผู้นำหุ้นของธุรกิจของตนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ตลาดมีความคึกคัก มีหุ้นในธุรกิจใหม่ๆเข้าจดทะเบียนซื้อขาย ทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ดิฉันเคยเขียนถึงการที่คนหนุ่มสาวอยากย้ายประเทศเพราะเขามองตัวเองว่าเป็นประชากรของโลก มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายได้ดี และอีกกลุ่มหนึ่งที่ย้ายออกจากประเทศเพราะแนวคิดทางการเมืองไม่สอดคล้อง หรือไปแสวงหาโอกาสใหม่ในการทำงาน ส่วนในกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง มีการย้ายประเทศเพราะเหตุผลหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับภาษีและคุณภาพชีวิต

20 พฤษภาคมที่ผ่านมา New World Wealth ร่วมกับ Henley & Partners ได้ออกรายงานการวิจัยถึงการย้ายประเทศ และพาดพิงถึงมหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกา ว่ามีความสนใจอยากได้ความเป็นพลเมืองสองสัญชาติ (Dual Citizenship) เพิ่มมากขึ้น เพื่อความมั่นใจ ซึ่งในสมัยก่อนการมีสองสัญชาติสำหรับชาวอเมริกันจะเป็นของที่ถือว่าหรูหรา

แม้สหรัฐอเมริกาจะยังติดอันดับประเทศที่มีประชากรมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก แต่ก็มีประเทศอื่นไล่ตามมา โดยเฉพาะประเทศจีน

สหรัฐอเมริกามีเศรษฐีเงินล้านจำนวนสูงที่สุดในโลก คือมีจำนวนรวม ​6,053,302 คน เป็นผู้มีความมั่งคั่งสุทธิ 1 ถึง ไม่เกิน 100 ล้านเหรียญ (เศรษฐีเงินล้าน) จำนวน 6,041,600 คน ความมั่งคั่ง 100 แต่ไม่ถึง 1,000 ล้านเหรียญ (เศรษฐีร้อยล้าน หรือมหาเศรษฐี) จำนวน 10,835 คน และความมั่งคั่งเกิน 1,000 ล้านเหรียญ (เศรษฐีพันล้าน) ที่ดิฉันใช้ศัพท์ว่า อภิมหาเศรษฐี มีจำนวน 867 คน

ส่วนประเทศจีนมี จำนวนเศรษฐีทั้งหมด 830,436 คน เป็นเศรษฐีเงินล้าน 827,900 คน เศรษฐีร้อยล้าน 2,258 คน และเศรษฐีพันล้าน 278 คน

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาคือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ถึง 2024 จำนวนเศรษฐีในสหรัฐมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 78%สูงกว่าประเทศจีนที่มีอัตราเพิ่ม 74%

จำนวนเศรษฐีที่เปลี่ยนไปในแต่ละประเทศ นอกจากจะขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งที่เพิ่มพูนขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งยังเกิดจากการย้ายถิ่นฐานของเศรษฐีเหล่านั้น โดยในปี 2024 มีเศรษฐีขอย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกา 3,800 คน

เศรษฐีที่ย้ายประเทศจำนวนมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ประเทศจีนค่ะ โดยประมาณว่าในปี 2024 เศรษฐีย้ายออกสุทธิ 15,200 คน ถัดมาคือสหราชอาณาจักร จำนวน 9,500 คน ตามด้วยอินเดีย 4,300 คน เกาหลีใต้ 1,200 คน รัสเซีย 1,000 คน บราซิล 800 คน อัฟริกาใต้ 600 จีนไต้หวัน 400 และไนจีเรีย กับ เวียดนาม ประมาณประเทศละ 300 คน

จริงๆแล้ว แนวโน้มการย้ายประเทศของเศรษฐีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆทุกปี แต่มีสะดุดเล็กน้อยในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงปี 2020-2021 จากนั้นก็เดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 2025 จะมีเศรษฐีย้ายประเทศ 135,000 คน

เหตุผลในการอยากย้ายประเทศมี 8 เรื่องหลักๆ คือ 1. ความปลอดภัยและความมั่นคง 2. ประเด็นความเป็นกังวลเรื่องการเงิน 3. ภาษีและการเกษียณอายุงาน 4. โอกาสในการทำงานและโอกาสทางธุรกิจ 5. ประเด็นทางไลฟ์สไตล์ รวมถึง ภูมิอากาศ ธรรมชาติ และทัศนียภาพ หรือวิวทิวทัศน์ 6. โรงเรียนและโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กๆ 7. ระบบการดูแลสุขภาพ และ 8. ระดับมาตรฐานความเป็นอยู่

สำหรับประเทศปลายทางที่รับเศรษฐีเหล่านี้เข้าไปอยู่ ทางผู้วิจัยได้ชี้ประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆไว้คือ ทำให้เกิดรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ แทนที่จะต้องผลิตสินค้าส่งออก 10 ล้านเหรียญ ก็มีเศรษฐีโอนเงินเข้ามาเพื่อใช้จ่ายหรือลงทุน 10 ล้านเหรียญ สบายๆ

นอกจากนี้ยังเกิดธุรกิจใหม่ๆที่ผู้ย้ายถิ่นฐานจะมาประกอบการ เพราะประมาณ 20% ของผู้ย้ายถิ่นฐานเป็นผู้ประกอบการและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท และส่วนใหญ่ก็จะไปตั้งธุรกิจในประเทศที่ย้ายไป ก่อให้เกิดการจ้างงานคนในท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า ในกลุ่มเศรษฐีร้อยล้านพันล้านที่ต้องการย้ายประเทศนั้น เป็นผู้ประกอบการและผู้ก่อตั้งธุรกิจในสัดส่วนสูงถึง 60%

รายงานนี้ยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ต่อตลาดหุ้น (ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยน่าจะนำมาพิจารณาเสนอภาครัฐให้ทำเป็นนโยบายเพื่อฟื้นฟูตลาดของเรา) คือ เขาพบว่ากลุ่มเศรษฐีผู้ย้ายประเทศนี้ ยังเป็นผู้ลงทุนในตลาดหุ้น หรือเป็นผู้นำหุ้นของธุรกิจของตนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ตลาดมีความคึกคัก มีหุ้นในธุรกิจใหม่ๆเข้าจดทะเบียนซื้อขาย ทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

โดยทางอ้อม กลุ่มผู้ย้ายประเทศที่เป็นเศรษฐีนี้ ยังเป็นผู้สร้างงานใหม่ๆที่จ่ายค่าตอบแทนสูงในประเทศปลายทาง จากอำนาจการจับจ่ายใช้สอยของพวกเขา และจากงานที่ให้ค่าจ้างสูงที่บริษัทที่พวกเขาก่อตั้งจ่ายให้กับพนักงาน ก่อให้เกิดพลังการซื้อสูง โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดบน เช่น โรงแรมหรู ร้านอาหารหรู ค้าปลีกหรู แฟชั่น สินค้าไฮเทค อสังหาริมทรัพย์ระดับบน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และการจัดการสินทรัพย์ของครอบครัว

ธุรกิจที่สร้างโดยนักธุรกิจเศรษฐีเหล่านี้ ยังได้ส่งผลไปถึงการสร้างชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น ทำให้คนรอบข้างได้รับผลพลอยได้จากความมั่งคั่งที่พวกเขานำมาสานต่อในประเทศปลายทางด้วย

ประเทศต่างๆจึงพยายามเชิญชวนเศรษฐีเหล่านั้นให้ย้ายไปอาศัยอยู่ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นจุดหมายอันดับสองของเศรษฐีเหล่านี้ รองจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE โดยประธานาธิบดีทรัมป์ มีดำริที่จะเพิ่มเงินลงทุนหรือเงินสนับสนุนขั้นต่ำของ วีซ่าบัตรทอง (Gold Card Visa) ซึ่งผู้ลงทุนจะได้ Permanent residence และนำไปสู่การเป็นพลเมืองสหรัฐ จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ 800,000 เหรียญ เป็น 5 ล้านเหรียญ แต่ก็สงวนไว้ว่า จะจำกัดการให้วีซ่านี้สำหรับบางประเทศ ตามแต่สถานการณ์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (คงพอเดากันได้ว่าประเทศไหนถูกจำกัด)

มีอยู่ประเทศหนึ่งที่ทำให้ดิฉันทึ่งอีกแล้ว ประเทศเล็กๆ แต่ปีที่แล้วดึงดูดเศรษฐีให้ย้ายไปได้ถึง 3,500 คน เป็นอันดับสามของโลก คาดว่าน่าจะดึงดูดกลุ่มที่เป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านด้วย เพราะค่าครองชีพในประเทศก็ค่อนข้างสูง คนจะย้ายมาจึงต้องมีเงินมากพอสมควร ได้รับยกย่องให้เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับธุรกิจที่สุดในโลก เดาได้ไหมคะว่าเป็นประเทศสิงคโปร์

ถึงเวลาที่รัฐจะทบทวนแผนการดึงสมองและเศรษฐีเข้าบ้านแล้วค่ะ ที่ผ่านมาเพราะเราบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวม เราจึงดึงดูดแต่คนสีเทาๆ ในเมื่อเราติดอันดับประเทศน่าอยู่ เราควรพยายามดึงดูดคนดีคนเก่ง ซึ่งจำเป็นที่เราต้องสร้างความปลอดภัยมั่นคงและสังคมที่ดี

หมายเหตุ : ประเทศที่เศรษฐีย้ายเข้าอยู่อันดับ 4-10 ในปี 2024 คือ แคนาดา ออสเตรเลีย อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ กรีซ โปรตุเกส และญี่ปุ่น