จับตาดีลเปลี่ยน ‘ผู้ถือหุ้นใหญ่’ โอกาสทอง หรือ ระเบิดเวลา นักลงทุนต้องสแกนให้ขาด

จับตาดีลเปลี่ยน ‘ผู้ถือหุ้นใหญ่’ โอกาสทอง หรือ ระเบิดเวลา นักลงทุนต้องสแกนให้ขาด

จับตาดีลเปลี่ยน ‘ผู้ถือหุ้นใหญ่’ โอกาสทอง หรือ ระเบิดเวลา นักลงทุนต้องสแกนให้ขาด หลากหลาย “ผู้ลงทุน” สนใจธุรกิจ พร้อมต่อยอดให้บริษัทเติบโตต่อเนื่อง

การเปลี่ยนแปลง “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ในบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ถูกจับตาในฐานะ “ดีลสำคัญ” ที่อาจสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กร บางครั้งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แสดงถึง “ความเชื่อมั่น” ของผู้ลงทุนรายใหม่ต่อศักยภาพของกิจการระยะยาว แต่บางกรณีก็อาจ “ซ่อนปัญหาภายใน” ที่ต้องการการฟื้นฟูและปรับโครงสร้าง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้จึงไม่ได้มีผลในเชิงบวกหรือเชิงลบเสมอไป ขึ้นอยู่กับบริบทความโปร่งใส และคุณภาพของผู้บริหารใหม่ โดยนักลงทุนจึงควรศึกษาให้รอบด้านว่าเบื้องหลังดีลนั้นคือ “โอกาส” หรือเป็นสัญญาณ “เตือน” ที่ควรระวังในการตัดสินใจลงทุน

จับตาดีลเปลี่ยน ‘ผู้ถือหุ้นใหญ่’ โอกาสทอง หรือ ระเบิดเวลา นักลงทุนต้องสแกนให้ขาด

“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในแต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ นักลงทุนต้องดูว่าสิ่งสำคัญเหล่านั้นมาจากอะไร เพราะในบางครั้งอาจเกิดขึ้นในบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่มาก และเป็นการเปลี่ยน “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ในหุ้นหลายครั้งเป็นลักษณะ “การขายกิจการบริษัท” โดยเฉพาะที่เป็น บจ. และคนที่ซื้อกิจการไปก็นำไปเปลี่ยนเป็น “ธุรกิจใหม่” หรืออาจจะเก็บธุรกิจเดิมไว้และค่อยๆ แทรกธุรกิจอื่นเข้ามาแทน มองว่าเป็นลักษณะการขายความเป็นบริษัทจดทะเบียน ถ้าเป็นลักษณะเช่นนี้ “ไม่น่าสนใจ” ยกเว้นว่า นักลงทุนมีความสามารถที่จะ “อ่านเกมทางการเงิน” ที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่กําลังจะดําเนินอยู่

อีกกรณีในการเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้ที่ “สนใจธุรกิจ” จริงๆ และมีเป้าหมายเข้ามาบริหารให้ธุรกิจดีขึ้น และทำให้เกิดประโยชน์กับบริษัทมากกว่าเดิม ยกตัวอย่าง กรณีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ซึ่ง “กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่” อาจจะมองเห็น “ศักยภาพ” ในธุรกิจ จึงมีเป้าหมายอยากเข้ามาต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตขึ้น และไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจเดิมยังคงยึดธุรกิจเดิม เพียงแต่ต่อยอดเพิ่มขึ้นเท่านั้น 

ส่วนอีกกรณี บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ด้วยพื้นฐานธุรกิจดีอยู่แล้ว ซึ่งอดีตมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 กลุ่มค่ือ “กลุ่มวนาสิน” และ “กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง” แต่กลุ่มที่มีอำนาจกำหนดทิศทางของธุรกิจ THG คือ กลุ่มวนาสิน จนกระทั้งมีปัญหาในเรื่องส่วนบุคคลของผู้ถือหุ้นกลุ่มวนาสิน ส่งผลต่อ THG ทางอ้อม จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่หลังกลุ่มวนาสินลดสัดส่วนการถือหุ้นของ THG ลง  

จนสุดท้ายกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลัก และเข้ามาบริหารธุรกิจเพื่อเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเป็นลักษณะการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่แบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงก็ทำธุรกิจโรงพยาบาลอยู่แล้ว ดังนั้น การเข้ามาสานต่อธุรกิจไม่ใช่เรื่องยาก รวมมทั้งการมีเข้าถือหุ้นใน THG ก็ทําให้เครือข่ายทางการแพทย์มีขนาดใหญ่ขึ้น อํานาจต่อรองในการซื้อยาซื้อเวชภัณฑ์ ต่างๆ ก็ปรับดีขึ้น และไม่ต้องกังวลว่าจะบริหารต่อไม่ได้ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น

นอกจากนี้ ในภาพของราคาหุ้น โครงสร้างการได้มา ๆ อย่างไร เช่น กรณีของ BCP ราคาหุ้นขึ้นง่ายกว่า เพราะว่าทางด้านหุ้นไม่ได้มีหุ้นใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่เป็นการไปเก็บหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นปลีกย่อยมากกว่า ลักษณะแบบนี้เมื่อมีหุ้นเยอะมากพอ มีอํานาจในการที่จะควบคุมบริษัทได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกค่อนข้างง่ายกว่า เพราะไม่มีปัญหาการเกิดการลดทอนผลกําไร 

แต่ในกรณีของ THG อาจจะดูซับซ้อนกว่า เพราะมีเรื่องภาระทางการเงินก่อนหน้าที่มาถือหุ้น มีการเพิ่มทุน เพิ่มจํานวนหุ้นเข้ามา แม้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา แต่แน่นอนว่าจะเกิดการลดทอนของกําไรจากจํานวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้ในเชิงธุรกิจจะดีขึ้น แต่ในเชิงราคาหุ้นอาจต้องดูบวกลบการลดทอนกําไรกับประโยชน์ที่มันเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะมีความยากหรือซับซ้อนมากขึ้น

“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เวลามีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องของ “บิ๊กล็อต” มีการแลกเปลี่ยนนอกกระดาน ถ้าในอดีตหุ้นขนาดใหญ่มักไม่ค่อยได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ทว่าเวลาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ที่เป็นเรื่องใหญ่กับหุ้นขนาดใหญ่ เช่น บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ที่มีการสวิซท์จาก Singtel มาเป็น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นต้น ทำให้เกิดดีลขึ้นมา และหุ้นมักจะตอบสนองในทางที่ดี

ทว่าหลายตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป โดยเฉพาะ “หุ้นขนาดเล็ก” ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกลไกทางด้านการเงินเล่นกันจนเละเทอะกันไปหมด

“มีทั้งกรณีเปลี่ยนเพราะมีปัญหาเลยต้องเปลี่ยนหรือกรณีมองธุรกิจในอนาคตดีมีการเปลี่ยนแปลงมีความพยายามที่จะเข้ามาเทคก็เป็นไปได้ แต่ทว่านักลงทุนต้องดูรายละเอียดให้ลึกว่า มีการเปลี่ยนแบบไหน ถ้ามีปัญหาอะไรมาก่อนถึงได้มีการเปลี่ยนเปลี่ยนหรือไม่ แต่ถ้ากิจการดีไม่ได้มีปัญหามีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ อันนี้น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นหุ้น INTUCH เป็นต้น”

“วทัญ จิตต์สมนึก” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลเพิ่มว่า การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นไปได้หลายกรณี อย่างกรณีแรก GULF อาจจะเล็งเห็นอะไรบ้างอย่างใน INTUCH ที่มีโอกาสและเป็นประโยชน์ในระยะยาว ซึ่ง INTUCH มีกระแสเงินสดค่อนข้างดี เพราะว่าทําธุรกิจสื่อสาร หรืออีกกรณี หุ้น MAJOR ที่เข้าไปลงทุนใน TKN หรือเถ้าแก่น้อย

หรือกรณี บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ทำธุรกิจค้าปลีก เน้นลูกค้าทั่วไป วันหนึ่งมองเห็นโอกาสใน MAKRO ที่เป็นตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ หรือเข้าซื้อ โลตัส แม้ขณะนี้จะมีหนี้ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้ามีการปลดหนี้ออกไปได้ก็จะทำให้ในระยะยาวกิจการเติบโตขึ้นไปได้มาก เป็นต้น

ดังนั้น การเปลี่ยนผู้ถือหุ้นอาจเกิดจากการที่คน ๆ หนึ่งมองเห็นโอกาสในอีกบริษัทหนึ่ง แล้วคาดหวังว่าถ้าเกิดว่าเข้าไปลงทุนในบริษัทนี้ อาจจะทําให้เกิดการทํางานร่วมกัน เพื่อสร้างผลกําไร หรือว่าหาประโยชน์จากการลงทุนครั้งนี้ได้ โดยการลงทุนในหุ้นแบบนี้อาจจะทำให้ธุรกิจครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้นคลองส่วนแบ่งการตลาดที่มันมากขึ้น และทำให้เติบโตได้ในระยะกลางถึงยาว