เปิดโผ 5 หุ้นเด่น ทนแรงกระแทกสงครามการค้า

บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันปัญหาของ Reciprocal tariff จะเป็นปัญหาหลักของโลกรวมถึงประเทศไทย จนนำมาถึงการปรับประมาณการ GDP ลงของหลายสำนัก โดยถ้าดูจากคาดการณ์ล่าสุดของหน่วยงานรัฐ อย่าง สภาพัฒน์ได้ปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเหลือ 1.8% จากเดิมที่ 2.8% โดยผลกระทบของ Reciprocal tariff จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568

ทั้งนี้แม้ในช่วงไตรมาส 1/68 เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจาก Reciprocal tariff แต่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนภายใต้การวิเคราะห์ของ KSS มีกำไรปรับตัวลดลงเล็กน้อยราว 0.16% เมื่อเทียบกับปีก่อน สวนทางกับภาพ GDP ที่โต 3.1% ในช่วงไตรมาส 1/68

อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงต้นปีจะมีการปรับประมาณการในปี 2568 ลงมาแล้ว แต่ถ้าดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ภายใต้การวิเคราะห์ของ KSS ซึ่งกว่า30% จากทั้งหมด 139 บริษัท มีกำไรสุทธิช่วงไตรมาส 1/68 ต่ำกว่าที่เราคาดอีก 41% ออกมาตามคาด ขณะที่แค่ 28% กำไรสุทธิดีกว่าคาด โดย sector ที่มีกำไรต่ำกว่าคาด ก็มีผลประกอบการเชื่องโยงกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม ไฟแนนท์ อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสื่อโฆษณา 

ขณะกลุ่มที่ผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด เป็นกลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่กลุ่มส่งออก เช่น GFPT CPF รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวเช่น Bank ที่มีนโยบายควบคุมค่าใข้จ่ายหนี้เสีย และ ICT ที่การแข่งขันลดลง ทำให้รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ยังเห็นการชะลอตัวของเศรษฐในประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณนักท่องเที่ยวก็มีแนวโน้นปรับตัวลดลงจากปีก่อน 

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 2 แทบไม่เหลือทำให้กลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เน้นหุ้น Defensive ที่รายได้ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ หรือสามารถลดต้นทุนได้ในช่วงเศรษฐกิจที่ยังผันผวน ทำให้มีความเสี่ยงน้อยต่อการที่กำไรจะออกมาต่ำคาดและต้องปรับประมาณการลงอีก โดยหุ้นที่ทีความแข็งแกร่ง เป็นหุ้นท็อปพิก ในช่วงไตรมาส 2/68 ได้แก่  ADVANC BDMS CPALL PTG และ TRUE