โบรกยก ‘หุ้น รพ.’หลุมหลบภัย ท่ามกลาง ‘เศรษฐกิจ’ ผันผวน ครึ่งหลังเด่น ‘ต่างชาติ-โรคระบาด’

โบรกยก‘หุ้น รพ.’ หลุมหลบภัย ท่ามกลาง ‘เศรษฐกิจ’ ผันผวน ครึ่งหลังเด่น ‘ต่างชาติ-โรคระบาด’ “บล.กสิกรไทย” มองหากสงครามการค้ารุนแรง “หุ้น รพ.” ที่ปลอดภัยของนักลงทุน
“กลุ่มโรงพยาบาล” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ครบแล้ว !! ส่วนใหญ่ “รายได้-กำไร” ยังเติบโต...โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามบางกลุ่มก็ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการลดลงของนักท่องเที่ยว
นี่อาจจะสะท้อนภาพ “อุตสาหกรรมโรงพยาบาลไทย” ยังคงแข็งแกร่ง ด้วย “ศักยภาพ” ในการเติบโต โดยมี “ปัจจัยหนุน” จากสังคมผู้สูงอายุและการฟื้นตัวของตลาดผู้ป่วยต่างชาติ แต่ในปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ขณะที่ “มูลค่าหุ้น” น่าสนใจ โดยกลุ่ม Healthcare ของไทย กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเติบโตปกติ (Organic Growth) โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยในช่วงปี 2568-2570 จะอยู่ที่ 6.1% ต่อปี ชะลอลงเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2017-2019) ที่เติบโตเฉลี่ย 8.3% ต่อปี
ด้วยสารพัด “ปัจจัยหนุนระยะยาว” คือ สังคมสูงวัยที่จะใหญ่ขึ้น, โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอีกปัจจัย “โดดเด่น” คือ ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางด้าน “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชั้นนำของโลก”
สอดรับล่าสุด “กลุ่มโรงพยาบาล” กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง ท่ามกลางเข้าสู่ช่วง “โรคระบาด” ทั้งไข้หวัดใหญ่ และการกลับมาเพิ่มขึ้นของตัวเลขคนไข้ “โควิด-19” ดันยอดผู้ป่วยพุ่งทั้งคนไข้ในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น คาดว่าผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 ต่อเนื่องถึงปลายปีจะขยายตัวต่อเนื่องรับไฮซีซันของธุรกิจ
นอกจากนี้ ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและสงครามการค้ายังเป็น “ปัจจัยกดดัน” ตลาดหุ้นไทย แต่ “หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล” จะถูกหยิบยกเป็น “หุ้นปลอดภัย” หรือ Defensive Stock ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ จึงยิ่งเพิ่มความน่าสนใจในฐานะแหล่งพักเงินสำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในไตรมาส 2 ปี 2568 สำหรับ “ลูกค้าตะวันออกกลาง” อาจจะมีอัตราการเติบโตในเชิงของไตรมาสต่อไตรมาสเพราะว่าไตรมาส 1 ปี 2568 มีบางช่วงเวลาที่ติดเทศกาลรอมฎอน ฉะนั้น ถ้านับคนไข้ต่างชาติที่เป็น Segment ตะวันออกกลาง ก็ถือว่ายังมีการเติบโตที่ดี
ส่วนปัจจัยภายในประเทศไทยไตรมาส 2 ปี 2568 เป็นช่วงซีซั่นมักจะอ่อนตัว แต่ทว่ารอบนี้มองว่า มีโอกาสอ่อนตัวมากกว่า เพราะว่า “กําลังซื้อ” ตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งกำลังส่งผลกระทบบ้างแล้ว แต่มองว่าในส่วนนี้จะไม่เห็นการปรับตัวลงแรงมาก หากเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่าง กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
นอกจากนี้ “หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล” ถือเป็น “หุ้นปลอดภัย”(Safe Haven) หากในกรณีเลวร้ายไม่สามารถเจรจาการค้าได้ หน้าหุ้นจะปรับโดยกลุ่มส่งออก กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มธนาคารจะต้องเผชิญกับความเสี่ยง
ขณะนี้กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยกลุ่มโรงพยาบาลที่น่าสนใจคือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 โดยหุ้น PR9 ถือเป็นหุ้นท็อปพิก มี Upside ประมาณ 10% จากราคาปัจจุบัน โดยกำไรไตรมาส 1 ปี 2568 กําไรไตรมาสทำได้ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งคนไข้ของตะวันออกกลางของ PR9 มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคนไข้ต่างประเทศมีอยู่ประมาณ 30% นอกจากนี้ PR9 น่าจะเป็นโรงพยาบาลตัวเดียวในกลุ่มที่ในปีนี้อีบิด้าในเชิงมาร์จินสูงสุดในกลุ่ม
“กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเข้าสู่ไฮซีซั่น ทำให้มีความคาดหวังปริมาณผู้ป่วยที่เข้ามารักษาพยาบาลเร่งขึ้นตามฤดูกาล ประกอบกับโครงสร้างราคาหุ้นมีการพักตัวลงมาในช่วงเทียบกับปลายปีที่แล้ว จึงมองว่าเป็นจังหวะในการซื้อลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวรอบใหม่ที่ดี
ทั้งนี้ แนวทางในการซื้อหุ้นนักทุนคงมองไปที่ “หุ้นโรงพยาบาลขนาดใหญ่” ก่อนก็จะเป็นโรงพยาบาล BDMS เป็นเป้าหลัก เนื่องจากมองบวกต่อการเติบโตระยะยาวจากความพร้อม ทั้งความสามารถในการรองรับ (Capacity) และศักยภาพการรักษาครบวงจร ทำให้มีความได้เปรียบในเชิงด้าน “การแข่งขัน”
นอกจากนี้ การปรับตัวของกลุ่มลูกค้าประกัน มีผลกระทบจำกัดจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบประกันไปสู่ระบบร่วมจ่าย (Co-payment) รองลงมา บริษัท โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH และ บริษัท โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BCH
“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเสริมว่า สำหรับกลุ่มโรงพยาบาลไตรมาส 2 คาดว่าผลประกอบการจะ “ปรับตัวดีขึ้น” แม้ว่าผู้ป่วยต่างชาติอาจจะเห็นการชะลอตัวลงไปบ้าง หลังจากที่กลุ่มตะวันออกกลางโดน “กดดัน” จากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง ขณะที่การฟื้นตัวจำนวน “ลูกค้าต่างชาติ” ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2568 เป็นต้นไป คาดกลุ่มลูกค้า CLMV (กัมพูชา , สปป.ลาว , เมียนมา , เวียดนาม) จีน และ ลิเบีย แนวโนเมฟื้นตัวดีขึ้น แต่ว่าผู้ป่วยในประเทศอยู่ในช่วงของโรคระบาดที่เป็นซีซั่น อย่างไข้หวัดใหญ่ หรือ โควิด-19 ที่กลับมาระบาดอีกรอบหนึ่ง และทิศทางยังเป็นขาขึ้น
ขณะที่ ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจคัดกรองโรค การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
นอกจากนี้ “กลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม” ที่เติบโตดีขึ้น หลังจำกประกันสังคม มีการประกาศอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูคงที่ตลอดปี 12,000 บาท ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปรับลดเหมือนช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น แนะนำหุ้น BCH ไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตได้ในระดับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ถึงไตรมาส 4 ปี 2568 โดยในปีนี้คงประมาณการกำไรปกติที่ 1,632 ล้านบาทเติบโต 16% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้จากจำนวนผู้ป่วยเงินสดทั้ง OPD และ IPD ที่ฟื้นตัวดีตั้งแต่ต้นปี จากโรคระบาดที่เพิ่ม และผลจากฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐานในกรุงเทพฯ ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นมาก







