ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 พ.ค.) บวก 2.99 จุด 'หุ้นแบงก์' ดันดัชนีฯ

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (23 พ.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,176.36 จุด เพิ่มขึ้น 2.99 จุด หรือ 0.25% "นักวิเคราะห์" ชี้ หุ้นไทยปรับตัวขึ้นอานิสงส์กลุ่มแบงก์ แนะจับตาความเคลื่อนไหวการเมือง
"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (23 พ.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,176.36 จุด เพิ่มขึ้น 2.99 จุด หรือ 0.25% โดยดัชนีฯ เคลื่อนไหวผันผวนทั้งวัน ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,184.86 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,173.54 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 34,681.98 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- KBANK ราคาปิด 164.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.00 บาท หรือ 0.00% มูลค่าซื้อขาย 3,272.12 ล้านบาท
- CPALL ราคาปิด 47.75 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ 2.55% มูลค่าซื้อขาย 2,266.33 ล้านบาท
- BH ราคาปิด 144.00 บาท ลดลง 5.50 บาท หรือ 3.68% มูลค่าซื้อขาย 1,417.45 ล้านบาท
- CRC ราคาปิด 18.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท หรือ 3.89% มูลค่าซื้อขาย 1,342.67 ล้านบาท
- BDMS ราคาปิด 21.70 บาท ลดลง 0.40 บาท หรือ 1.81% มูลค่าซื้อขาย 1,179.35 ล้านบาท
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวในทิศทางบวกหลังจากปิดในแดนลบเมื่อวานนี้เพราะกระแสเงินลงทุนที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารและข่าวการซื้อหุ้นคืนของ Bangkok Airways หรือ BA อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงอยู่ในช่วง Trading Sideway to Sideway Down ภายใต้ความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมือง
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงและราคาปรับตัวขึ้นในภาคเช้าสองอันดับแรกคือ KBANK และ SCB โดยสถาบันการเงินถูกมองว่าเป็นกลุ่มเดียวที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าตลาดโดยรวมในขณะนี้ เนื่องจากมีการควบคุมสภาพคล่องของระบบอย่างเข้มงวดและใช้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ
นอกจากนี้ BA มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท การซื้อหุ้นคืนโดยทั่วไปส่งสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดและช่วยพยุงราคาหุ้นของบริษัท เนื่องจากสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของฝ่ายบริหารในศักยภาพของธุรกิจและการประเมินว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่เกินมูลค่าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม นายกรรณ์กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีข้อจำกัดคือข้อจำกัดทางเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้า, กำลังซื้อระดับกลางและระดับล่างที่ฟื้นตัวช้า จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าสถานการณ์แย่กว่าช่วงวิกฤตโควิดสำหรับประชาชนบางส่วน, สถานการณ์การเมืองที่ค่อนข้างดุเดือดและยังไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้คาดว่าสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นไทยจะแกว่งในกรอบ 1,200 จุด และมีแนวรับที่ 1,185 จุด 1,150 จุด 1,135 จุด และ 1,100 จุดตามลำดับ โดยกรณีสถานการณ์ที่แย่ที่ที่สุด เช่น การยุบสภา
หุ้นแนะนำและหลีกเลี่ยง
สำหรับคำแนะนำในการลงทุน นายกรรณ์กล่าวว่า แนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์แบบ Trading โดยเลือกหุ้น Large Cap ของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ต้องมีการคัดเลือกอย่างรอบคอบ
- กลุ่มธนาคาร (แนะนำ): หุ้นกลุ่มธนาคารถูกมองว่าเป็นกลุ่มเดียวที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าตลาดในปัจจุบัน
KBANK: น่าสนใจที่สุดในกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะตัวจากการที่ GULF เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอาจมีการซื้อเพิ่มเติม ทำให้ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับตัวขึ้น
SCB: เป็นอีกหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มธนาคารและได้รับการเลือกมากกว่า BBL
- กลุ่มโรงพยาบาล (หลีกเลี่ยง): กลุ่มโรงพยาบาลถูกมองว่าไม่น่าสนใจ และเริ่มเผชิญแรงขายที่หนักขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและราคาน้ำมันดิบที่ส่งผลต่อกลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของโรงพยาบาลบางแห่ง เช่น บำรุงราษฎร์ (BH) อาจส่งผลให้ผู้ป่วยต่างชาติจากภูมิภาคนี้ลดลงในไตรมาส 2 หรือครึ่งปีหลัง







