‘หุ้นไทย’ ลุ้นเหนือ 1,200 จุด ‘ยาก’ คาดปัจจัยเสี่ยง ‘เทรดวอร์-การเมือง’

หุุ้นไทยเจอมรุสุมรุมเร้าหลายด้าน สงครามการค้ายังไม่ชัดเจน จีดีพีของไทยโตต่ำ ขณะที่ปัจจัยการเมืองเริ่มเห็นความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลที่ปะทุ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปีนี้อาจจะยืนเหนือ 1,200 จุดได้ยาก
แม้การบรรลุข้อตกลงชั่วคราวระหว่าง สหรัฐฯ-จีน ในกรณีลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ทำให้ทั่วโลกคลายความกังวลลงไปพอสมควร และถือเป็นมุมบวกสำหรับนักลงทุน แต่ทว่าไทยยังมีความเสี่ยง เหตุตลาดยังกังวล outlook ในช่วง 2-3 และ 4/68 อาจจะแผ่วลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศรุมเร้าจากจีดีพีของไทยโตค่อนข้างต่ำ และปัจจัยการเมืองเริ่มเห็นความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลที่ปะทุยิ่งขึ้น ส่งผลให้หุ้นไทยปีนี้อาจจะยืนเหนือ 1,200 จุดได้ยาก
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดตอบรับเชิงบวกกับจีนและสหรัฐที่มีการยุติสงครามการค้าชั่วคราวไปค่อนมาก แต่ก็เริ่มเห็นภาพการชะลอตัวลงมาบ้าง ในส่วนของดัชนีหุ้นไทย แม้ว่าภาพรวมกําไรไตรมาส 1 ปี 2568 โดยรวมออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่หุ้นยังไปต่อไม่ได้ เพราะตลาดยังกังวล outlook ช่วงที่เหลือของปี 2568 อาจจะแผ่วลง
ทั้งนี้ ช่วงเดือนเม.ย.รายได้เริ่มแผ่วลง ซึ่งยังมีความกังวลอยู่แม้ไตรมาส 1 ปี 2568 ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยขึ้นยาก เพราะยังมีความเสี่ยง ขณะที่ภาพรวมจีดีพีไทยโตค่อนข้างต่ำ 2% ทำให้ดัชนีแรลลี่เหนือระดับ 1,200 จุดขึ้นไปอาจจะ “ไม่ง่าย”
ส่วนการเจรจาของไทยกับสหรัฐยังคงยังไม่เห็นข่าวเพิ่มเติม หลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้ออกมาบอกว่า หลายประเทศในเอเชียมีข้อเสนอที่ดีรวมถึงไทย ซึ่งอาจจะต้องรอลุ้นในวันนัดเจรจาอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อพิจารณาแล้วไม่น่าที่จะมีประเทศใดได้ภาษีที่ต่ำกว่า 10% จากที่เห็นจากจีน ยังไม่มีต่ำกว่า 10% ฉะนั้นอาจจะต้องดูไทยที่โดนภาษีที่ 36% จะกดลงมาได้ขนาดไหน
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นโลกระยะสั้นผ่อนคลาย ขณะที่เฟดออกมาบอกว่า ความไม่แน่นอนยังมีอยู่ดอกเบี้ยยังต้องยืนสูงอย่างนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดัน ฉะนั้นภาพจะค่อนข้างทางบวกอ่อนๆ มีเจรจาการค้าก็จริง แต่ยังวางใจไม่ได้ เพราะเฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย จากความไม่แน่นอน ที่ยังคลุมเครือ และยังมีความกังวล ที่ยังคงมีความไม่ชัดเจน
สำหรับในส่วนของไทยกับการเจรจาสหรัฐ ส่วนตัวมองว่า ภาษีของไทยน่าจะเหลือประมาณ 10-15% ขณะที่หุ้นคาดว่าน่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 10-20 จุด แต่ทว่าเมื่อหุ้นปรับขึ้นมา น่าจะมีแรงเทขายออกมาสูงมาก เพราะขณะนี้ปัจจัยภายในประเทศเริ่มมีขึ้นมาแล้วระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย เพราะฉะนั้นจึงยังไม่ได้มองบวกในหุ้นมากนัก
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลต่อไปว่า การที่จีนกับสหรัฐพักรบสงครามการค้าลงชั่วครามถือว่า ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งในมุมมองตลาดลดระดับความเลวร้ายลงลดระดับลง
ฉะนั้น การที่ภาษีการค้าสหรัฐกับจีนจบลงมาได้ 30% ทําให้ความเสี่ยงสำหรับประเทศที่ไม่ใช่ทาร์เก็ตในการโจมตีแบบจีน ซึ่งไม่น่าที่จะมีระดับภาษีที่สูงกว่าระดับภาษีที่จีนได้รับ ก็ช่วยทําให้ความเสี่ยงหรือผลกระทบที่ตลาดกังวลเริ่มปรับตัวลดลงมา บวกกับการที่ตลาดก่อนหน้านี้ price in ความเสี่ยงด้านลบในกรณีเลวร้ายที่สุดไปในระดับหนึ่งแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ภาพตลาดมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น ขณะที่ภาพการลงทุนทั่วโลกมีความแตกต่างกัน เพราะขึ้นอยู่กับว่าภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ อย่าง ไทยเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
ส่วนการเจรจาของไทยถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะว่าจากเดิมตลาดมองความล่าช้า แต่ล่าสุดผลตอบรับกลับมาค่อนข้างดี แต่ทว่าหลังจากนี้ต้องดูว่าฝั่งสหรัฐจะเรียกร้องอะไรเพิ่มเติม ซึ่งกลุ่มที่มีโอกาสจะได้ประโยชน์เชิงบวกส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่อิงเรื่องต้นทุนสินค้านําเข้า อย่างพวกพลังงานแอลเอ็นจี หรือปิโตรเคมี







