ทำไม ’หุ้นจีน’ เสี่ยงถูกดีลิสต์จากตลาดสหรัฐ ในเกมสงครามการค้า

ทำไมหุ้น ’จีน’ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ เสี่ยงถูกดีลิสต์ในเกม ‘สงครามการค้า’ ทรัมป์เล็งเข้มงวดบริษัทจีนมากขึ้น คาดเกิดแรงเทขายกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์
ในสงครามการค้าระหว่าง “สหรัฐ” กับ “จีน” ไม่ใช่แค่เรื่องภาษีนำเข้าที่เป็นจุดปะทะที่เราต้องจับตามอง แต่การที่บริษัทจีนสามารถเข้าถึงตลาดหุ้นของสหรัฐก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ บริษัทจีนเกือบ 300 แห่ง ที่ปัจจุบันมีชื่อจดทะเบียนและซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐตกอยู่ใน “ความเสี่ยง” ที่จะถูกเพิกถอน ออกจากตลาด
บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ บิสซิเนส และถูกสอบถามว่า ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จะพิจารณามาตรการถอดบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นสำคัญของสหรัฐ ในระหว่างการเจรจาทางการค้าหรือไม่ ซึ่งเบสเซนต์ได้ตอบว่า ทุกความเป็นไปได้กำลังถูกพิจารณาอยู่และระบุว่า กลุ่มบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐมีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์อาจตกอยู่ใน “ความเสี่ยง”
ทำไม ‘ทรัมป์’ ถึงอยากถอดหุ้นจีน?
รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์มีเป้าหมายที่จะตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่าบริษัทจีนที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ปฏิบัติตามมาตรฐานการตรวจสอบบัญชีที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ภายใต้กฎหมาย "พระราชบัญญัติควบคุมบริษัทต่างชาติที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิด" (Holding Foreign Companies Accountable Act - HFCAA) ที่อกมาในปี 2020 หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐมีอำนาจสั่งให้บริษัทจีนถูกเพิกถอน หากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการตรวจสอบบัญชีของบริษัทนั้นๆ ได้เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน
ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะทบทวนโครงสร้างที่บริษัทจีนใช้ในการเข้ามาจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นของสหรัฐ หลังจากที่บริษัทจีนใช้รูปแบบ Variable Interest Entities (VIE) หมายถึงการสร้างบริษัทตัวแทนขึ้นมานอกประเทศจีน โดยบริษัทเหล่านี้จะมีสิทธิในการรับรายได้จากธุรกิจที่ทำในจีน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของตัวบริษัทในจีน โดยข้อมูลระบุว่าบริษัทจีนกว่า 286 แห่ง ใช้โครงสร้าง VIEs นี้เพื่อจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ
ตามรายงานของ Financial Times ระบุว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ ได้เขียนจดหมายถึง "พอล แอตกินส์" ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐในเดือนพ.ค. เรียกร้องให้ทาง ก.ล.ต. พิจารณาถอดรายชื่อบริษัทจีนจำนวน 25 แห่งออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงบริษัท Baidu, Pony AI , Weibo Corp. โดยระบุว่าบริษัทเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับทางกองทัพของจีน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติของสหรัฐได้
แห่หนีตายไปฮ่องกง หลังเสี่ยงถูกถอดจากตลาดสหรัฐ
หากบริษัทจีนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกไป ผลกระทบสำคัญคือ บริษัทเหล่านั้นจะไม่สามารถเข้าถึงตลาดเงินทุนขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงได้อีกต่อไป
บริษัทที่ถูกมองว่ามีความเสี่ยงและจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือกลุ่มที่ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนหรือซื้อขายในตลาดหุ้นที่อื่นนอกเหนือจากสหรัฐ เช่น PDD Holdings Inc. บริษัทแม่ Temu
นักวิเคราะห์จากธนาคาร JPMorgan Chase & Co. ประเมินว่า หากบริษัทเหล่านี้ถูกถอดออกจากตลาดสหรัฐก็มีแนวโน้มที่จะถูกถอดออกจากดัชนีหุ้นสำคัญๆ ของโลกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้มี เงินลงทุนจำนวนมากถึงประมาณ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลออกจากกองทุนที่ลงทุนตามดัชนีทั่วโลก
บริษัทจีนหลายแห่งก็ได้เริ่มหาทางเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยการไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่อื่นเป็นทางเลือกสำรองโดยเฉพาะที่ “ตลาดหุ้นฮ่องกง” เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันผลกระทบ หากในอนาคตเกิดปัญหาหรือมีการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบในสหรัฐจนทำให้ไม่สามารถซื้อขายในตลาดได้อีกต่อไป
เสี่ยงเกิดแรงเทขายมหาศาล 8 แสนล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs Group Inc. ประเมินว่า หากเกิด "สถานการณ์เลวร้าย" นักลงทุนในสหรัฐอาจถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ หากถูกห้ามไม่ให้ลงทุนในบริษัทจีน สินทรัพย์ดังกล่าวประกอบด้วย
- หุ้นที่ซื้อขายในสหรัฐในรูปแบบของใบรับฝากเงิน (ADRs) มูลค่าประมาณ 2.5 แสนล้านดอลลาร์
- หุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกง มูลค่าประมาณ 5.22 แสนล้านดอลลาร์
- หุ้นที่ซื้อขายในจีนแผ่นดินใหญ่ คิดเป็น 0.5% ของมูลค่าตลาด
รวมทั้งถ้าหากปักกิ่งมีคำสั่งให้นักลงทุนจีนขายสินทรัพย์การลงทุนในสหรัฐเพื่อเป็นการตอบโต้ โกลด์แมนประเมินว่านักลงทุนจีนอาจขายหุ้นมูลค่า 370,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ก.ล.ต. สหรัฐสามารถถอดถอนบริษัทจีนได้ 2 ทางหลัก คือ สั่งตลาดหลักทรัพย์ถอนชื่อ หรือเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขาย ทำให้ซื้อขาย OTC ไม่ได้ด้วย นอกจากนี้ อาจใช้คำสั่งฉุกเฉินระงับการซื้อขาย หรือรัฐบาลสั่งให้ ก.ล.ต. ออกกฎหมายห้ามใช้ VIEs
อ้างอิง Bloomberg