ต่างชาติขาย‘บอนด์-หุ้น’2.8หมื่นล. กรุงศรีชี้‘เงินร้อน’ไหลออก

ต่างชาติขาย‘บอนด์-หุ้น’2.8หมื่นล. กรุงศรีชี้‘เงินร้อน’ไหลออก

เงินร้อนต่างชาติ ไหลออกตลาดบอนด์-หุ้นไทย 2 วันต่อเนื่องทะลุ 2.8 หมื่นล้าน กรุงศรีเผยต่างชาติปรับพอร์ตโยกเงินออก หลังท่าทีผู้ว่าฯ ธปท. ไม่รีบเร่ง ลดดอกเบี้ย

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงวันศุกร์ (9 พ.ค.) ที่ผ่านมานี้ เริ่มเห็นความเป็นไปได้ที่อาจเป็น “เงินร้อน” ของนักลงทุนต่างชาติ ที่ปรับมุมมองการลงทุน สาเหตุส่วนหนึ่งหลังจากดูท่าทีของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่เร่งลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ทำให้มีเงินต่างชาติไหลออกทั้งจากตลาดตราสารหนี้ไทย 18,000 ล้านบาท และตลาดหุ้นไทย 1,451.72 ล้านบาท 

และยังคงไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยวานนี้ (13 พ.ค.) สอดคล้องตามทิศทางตลาดโลก จากแนวโน้มสงครามการค้าคลี่คลายลงแม้เป็นช่วงสั้นๆ ทำให้นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตลงทุนโยกเงินออกจากตลาดตราสารหนี้เข้าตลาดหุ้น สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ทำให้เงินบาทขาดเสถียรภาพแต่อย่างใด ส่วนการเข้าดูแลตลาดของทางการอาจเห็นได้จากตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงรายสัปดาห์ช่วงตลาดผันผวนสูง ซึ่งการเข้าดูแลดังกล่าวไม่ได้ฝืนกลไกตลาด 

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท ส่วนหนึ่งตามทิศทางราคาทองโลก โดยไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ขณะเดียวกันตลาดการเงินยังมีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง จากปัจจัยต่างประเทศ แม้สงครามการค้าที่ลดความร้อนแรงเกินคาดหลังสหรัฐ-จีนจะตกลงลดภาษีชั่วคราวกันได้ กดดันราคาทองคำปรับตัวลงในระยะสั้น และมุมมองของตลาดที่คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยช้าลงเหลือ 2 รอบ จาก 2-4 รอบในปีนี้

สำหรับ ปัจจัยในประเทศ ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า สงครามการค้าทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูงมากขณะที่กระสุนนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด ด้านดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเม.ย. ลดลง 0.22% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบกว่าหนึ่งปี และกระทรวงพาณิชย์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจยังคงลดลงในเดือนพ.ค.

 

“เราเห็นสอดคล้องกับท่าทีของผู้ว่าการธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ลดลงไปต่ำเท่าช่วงโควิด -19 คาดกนง.น่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ 2 รอบ มาอยู่ที่ 1.25% ในปีนี้ แต่หลังสหรัฐกับจีนตกลงการค้าได้ชั่วคราว ทำให้ประชุมกนง. รอบวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ยังมีเวลาให้ กนง.ได้พิจารณา”

ดังนั้น ภาพรวมระยะสั้นในสัปดาห์นี้ (13-16 พ.ค.) มีมุมมองต่อทิศทางเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.80 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทปิดแข็งค่า แนวโน้มค่าเงินบาทช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ยังคงกรอบไว้ที่ 32.25 -34.75 บาทต่อดอลลาร์ ด้วยปัจจัยกระแสเงินต่างชาติครึ่งปีหลังยังมีโอกาสเห็นเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย ทั้งสั้นหรือที่มีอายุยาวขึ้น หลังจากเงินดอลลาร์สูญเสียความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากทรัมป์ดำเนินนโยบายการค้าแบบสุดโต่ง 

ในตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่ไหลเข้าชัดเจน เพราะยังไม่มีความโดดเด่นและตั้งแต่ต้นปีจนถึง 9 พ.ค. ต่างชาติขขายหุ้นไทยสุทธิถึง 55,000 ล้านบาท รวมถึงคาดหวังการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ในช่วงพักรบสงครามการค้าของสหรัฐ 90 วัน และหากการเจรจาการค้าสหรัฐกับไทย มีข้อตกลงใกล้เคียงประเทศคู่ค้าอื่นๆ จะหนุนให้ส่งออกกลับมาดี และเศรษฐกิจไทยในปีนี้ฟื้นตัว

นางสาวอริยา ตีรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยช่วง 2 วันมานี้เป็นเงินที่ก่อนหน้านี้โยกเข้ามา “พักเงิน” ระยะสั้น เป็นการ “เก็งกำไร” แนวโน้มกนง.ลุ้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงและผลบวกค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกลับสกุลเงินอื่นๆ โดยเฉพาะเงินบาทแข็งค่าต่อ

แต่เมื่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ได้เร่งรีบ ประกอบกับสหรัฐกับจีนมีข้อตกลงการค้าลดภาษีได้ชั่วคราว นักลงทุนต่างชาติมีจังหวะขายทำกำไรปรับพอร์ตโยกเงินออกไปเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า บอนด์ยีลด์ปรับขึ้น และราคาทองปรับตัวลง

“สถานการณ์ดังกล่าวมองว่าเป็นเคลื่อนไหวของตลาดตามปกติ ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทยยังมีเสถียรภาพ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวานนี้ (13 พ.ค.) ต่างชาติยังซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 70,000 ล้านบาทและอนาคตด้วยนโยบายของทรัมป์ ที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง มองว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าได้เช่นกัน”