PTTGC ขาดทุน Q1/68 ที่ 2.56 พันล้าน จากโรงกลั่น – ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน

PTTGC รายงาน Q1/68 รับรู้ขาดทุน 2.56 พันล้านบาท หลังได้รับผลกระทบธุรกิจโรงกลั่นราคาขายลดลง และ Stock loss 55 ล้านบาท ด้านมาตรการภาษีสหรัฐเริ่มกระทบอุปสงค์ในตลาด
นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 132,547 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2567แต่ ลดลงร้อยละ 15จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 2,567 ล้านบาท (-0.61 บาท/หุ้น) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 650,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 4,191 ล้านบาท หรือร้อยละ 1
โดยหลักมาจากกลุ่มโรงกลั่นที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลง ตามทิศทางตลาดโลก ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันมีความท้าทายจากปัจจัยต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง ประเทศด้วยการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าซึ่งส่งผลกดดันต่อต้นทุนและความ ต้องการในการบริโภค
บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 5,377 ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส ก่อนหน้าร้อยละ 102 จากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและมุ่งเน้นประสิทธิภาพของบริษัทฯที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้านธุรกิจมีการปรับตัวดีขึ้นจากผลประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และโพลิเมอร์เป็นหลัก บริษัทฯมีความได้เปรียบ ด้านต้นทุนของโรงโอเลฟินส์
โดยในไตรมาสนี้บริษัทฯ ได้รับปริมาณก๊าซอีเทนที่ใช้ในการผลิตด้วยสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่าไตร มาสก่อน นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการปรับราคาสัญญาซื้อวัตถุดิบ อีเทนจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ซึ่งในไตรมาสนี้ไม่มีรายการดังกล่าว
ด้าน อัตรากำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในไตรมาส 1/2568 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 80 ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในอุตสาหกรรมของ ภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งราคาของกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ปรับสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อความกังวลของอุปสงค์ปลายทางของ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมถึงอุปทานส่วนเกินที่ทำให้ผู้ผลิตในตลาดยังควบคุมระดับอัตราการผลิตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณการขายของบริษัท allnex ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามฤดูกาลเป็นหลัก ประกอบกับค่าใช้จ่ายดำเนินการที่ลดลงเป็นผลจากการปรับโครงสร้างของ Vencorex อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เบนซีนที่ปรับลดลงเป็นหลัก ในส่วนของกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีผลประกอบการทรงตัวโดย GRM อยู่ที่ 3.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 1/2568
บริษัทฯ รับรู้ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาตามสภาวะตลาด ได้แก่ ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และการกลับรายการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV Reversal) สุทธิ เป็นขาดทุน 55 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 809 ล้านบาท กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นกำไร 441 ล้านบาท
รวมถึงบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้จำนวน 138 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนจากจากผล ประกอบการของบริษัทร่วมค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิโพรพิลีนที่ปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณการขายเป็นหลัก
โดยมีรายละเอียดของการลดลงที่มีสาระสำคัญประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียน เพิ่มขึ้น 5,765 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายการเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและสินทรัพย์ ทางการเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน กอปรกับสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น หักกลบกับลูกหนี้การค้าที่ลดลง สินทรัพย์ หมุนเวียนอื่นลดลง ในขณะที่ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ลดลง 1,628 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 474 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 383,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จ านวน 6,227 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดที่มีสาระสำคัญประกอบด้วยหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (รวมหนี้สินตามสัญญา เช่า) ลดลง 3,249 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการจ่ายชำระคืนเงินกู้ระยะยาวจ านวน 3,386 ล้านบาท และหนี้สินตาม สัญญาเช่าลดลง 460 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 10,477 ล้านบาท หนี้สินหมุนเวียนอื่นลดลง 1,723 ล้านบาท และ หนี้สินตราสารอนุพันธ์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 403 ล้านบาทเป็นหลัก







