KCE กำไร Q1/68 วูบ 55 % ที่ 229  ล้านรับผลกระทบปรับราคาขาย - บาทแข็ง

          บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จํากัด (มหาชน) หรือ KCE  รายงานกําไรสุทธิ กลุ่มบริษัทรายงานรายได้รวมจํานวน 3,425.9 ล้านบาท ลดลง 12.72 %  จากช่วงเดียวกันปีก่อน  และมีกําไรสุทธิ 229.8 ล้านบาท ลดลง 55.41 %  เทียบกับ ไตรมาส 1 ในปี 2567 มีกําไรสุทธิ 515.4 ล้านบาท

         สําหรับไตรมาส 1/68 ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสําคัญเมื่อเปรียบเทียบ กับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กําไรลดลง ได้แก่ การรับรู้รายได้ที่ลดลง อันเป็น ผลมาจากการปรับลดราคาขาย การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์  และคําสั่งซื้อจากลูกค้าหลักในกลุ่ม อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัว

       ผลประกอบการที่อ่อนตัวลงในไตรมาสนี้มีสาเหตุจากภาวะอุปสงค์ในตลาดโลกที่ลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้อต่อการดําเนินธุรกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มบริษัทโดยตรง นอกจากนี้การใช้กําลังการผลิตที่ไม่เต็ม ประสิทธิภาพในไตรมาสนี้ยังส่งผลกระทบต่ออัตรากําไรอีกด้วย ส่งผลให้กําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 0.19 บาท

      กลุ่มบริษัทยังคงดําเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกและ แนวโน้มคําสั่งซื้อของลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ยังคงให้ความสําคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและการ ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง

          สำหรับรายได้รวมของกลุ่มบริษัทฯในไตรมาส 1/68 มีมูลค่า 3,425.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เทียบกับไตรมาสก่อน หน้า แต่ลดลงร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมของไตรมาส 1/68 นี้ประกอบด้วยรายได้จากการขายสินค้า จํานวน 3,324.0 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ จํานวน 101.9 ล้านบาท

        โดยรายได้อื่นในไตรมาส 1/68 ลดลง จาก 118.0 ล้านบาทในไตรมาส 4/67และลดลงจาก 146.5 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 เนื่องจากผลกระทบจากความผัน ผวนของอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลทําให้การรับรู้กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 44.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 1/67 รายได้จากการขายสินค้า

          รายได้จากการขายสินค้ารวมของกลุ่มบริษัทฯในรูปเงินบาทสําหรับไตรมาส 1/68 มีจํานวน 3,324.0 ล้านบาท ซึ่ง เพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.63 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 12.06 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ในขณะที่ยอดขายในรูปเงินสกุล ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2.70 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 7.51 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน การแข็งค่าของเงิน บาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์และยูโรในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการรับรู้รายได้ในรูปเงินบาทอย่างมีนัยสําคัญ

          โดยรายได้ลดลงประมาณ 8.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลงประมาณ 148.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การแข็งค่าของเงินบาทถือเป็นปัจจัยหลักที่ทําให้รายได้ในรูปเงินบาทลดลงอย่างมีนัยสําคัญ แม้ว่ารายได้ในรูปเงินดอลลาร์จะลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับปีก่อน  ปริมาณการจัดส่งแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) เพื่อการขายในไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้น 10.75% เมื่อเทียบกับไตรมาส ก่อนหน้า (Q-o-Q) แต่ลดลง 7.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Y-o-Y)

           การจัดส่งแผ่นวงจรแบบพิเศษ (HDI) ลดลง 2.84% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 และลดลงอย่างมีนัยสําคัญถึง 26.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การลดลงของปริมาณการส่งออก HDI PCB ในช่วงเวลาดังกล่าว มีสาเหตุหลักมาจากการระบายสินค้าคง คลังส่วนเกินที่อยู่ ณ คลังสินค้าของลูกค้า โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าฝากขาย

          อีกทั้งยังได้รับผลกระทบบางส่วนจากการ เปลี่ยนแปลงของระยะเวลาขนส่ง และการสิ้นสุดการผลิตของผลิตภัณฑ์บางรุ่น ขณะที่คําสั่งซื้อจากลูกค้าสําหรับ ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ยังมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ สําหรับการจัดส่งตามภูมิภาค ปริมาณขายในยุโรปเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 1/68 หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

         อย่างไรก็ตาม มูลค่าการขายเพิ่มขึ้นเพียง 5.06% Q-o-Q ในขณะที่ปริมาณการจัดส่งเพิ่มขึ้นถึง 10.75% สะท้อน ถึงการเติบโตของรายได้ที่ช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณ  เนื่องจากสัดส่วนของสินค้า HDI ลดลงและมีแรง กดดันด้านราคาที่ลูกค้าขอปรับลดราคาลง ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2568 ลูกค้าได้ร้องขอให้ลดราคาสินค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ประมาณ 4%

          โดยแรงกดดันด้าน ราคาดังกล่าว บวกกับต้นทุนการผลิตที่ยังไม่สามารถลดลงได้ทัน ทําให้ผลกําไรในไตรมาส 1/68 ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 บริษัทฯ ยังมีคําสั่งซื้อที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) คงค้างอยู่ประมาณ 3.4 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์บางรายการมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านดอลลาร์ ที่ถูกเลือนการส่งมอบออกไป เนื่องจากรอการอนุมัติการจัดส่งจากลูกค้า ซึ่งคําสั่งซื้อดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาส 2/68