PTTEP รุกลงทุนใหม่ดันกำไร เจาะตปท. ผนึกพันธมิตร’ซื้อ-ควบรวม‘

PTTEP เดินหน้าสร้างกำไร โตตามแผน 5 ปี มองหาโอกาสลงทุนใหม่“ซื้อ-ควบรวมกิจการ” ร่วมกับพันธมิตร เจาะพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่างประเทศ ส่วนปีนี้มุ่งรักษาอิบิด้า 70-75%
นายเสริมศักด์ สัจจะวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายเพื่อรักษาระดับการทำกำไร และสร้างการเติบโต EPS ตามแผน 5 ปี โดยยังคงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ด้วยรูปแบบการซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A)
สำหรับโครงการใหม่ที่สนใจลงทุนจะพิจารณาโครงการพัฒนาจนใกล้ผลิต หรือผลิตแล้วในช่วงต้นๆ รวมถึงมุ่งเน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์แก๊สธรรมชาติและยังอย่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ (Thailand , Southeast Asia ,Middle East, Africa) ที่ช่วงที่มีราคาน้ำมันเหมาะสม ทำให้มีต้นทุนต่ำรองรับในช่วงการเปลี่ยนผ่านของการใช้พลังงานได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้เร่งรัดการพัฒนาในโครงการลงทุนต่างๆ เช่น โครงการ Mozombigigue มีสัญญาณเป็นบวกซึ่งจะกลับเข้าเร่งพัฒนาโครงการได้ คาดว่าแผนการผลิตปลายปี 2571 และโครงการ Malaysia Greenfield ที่มีการเพิ่มปริมาณการผลิตเข้ามา
พร้อมกันนี้ทางด้านการลงทุนบริษัทเดินหน้าตามแผน 5 ปี (ปี 2568-2572) ด้วยการเพิ่มปริมาณขาย 3.6% และแนวโน้มการลงทุนตามกลยุทธ์ยังคงในพื้นที่ยุทธศาสตร์ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ
ขณะที่ การดำเนินนโยายของประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ส่งผลในปัจจุบันต่อราคาน้ำมัน ด้วยต้นทุนการพัฒนาน้ำมันของสหรัฐ จะไม่ได้ถูกอีกต่อไป ต้องมีต้นทุนอย่างน้อย 60 ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ ดังนั้น จึงคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ระดับ 65-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งปัจจุบันพอร์ตธุรกิจน้ำมันของบริษัท มีสัดส่วน 30% คาดว่าคงได้รับผลกระทบ แต่ได้มีการบริหารความเสี่ยงไดนามิกเฮดจิ้นไว้แล้ว
ด้านพอร์ตธุรกิจใหญ่ ยังคงเป็นก๊าซธรรมชาติ ที่มีสัญญาระยะยาว โดยพอร์ตดังกล่าวสามารถรองรับความผันผวนของราคาน้ำมันได้ โดยเฉพาะในโครงการ G1/61 (Erawan) และ โครงการ G2/61 (Bangkok) ทำให้บริษัทยังไม่มีผลกระทบในปีนี้มากนัก
นายณัฐพล เตชะวรพร ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ PTTEP เปิดเผยว่า สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 และทั้งปี 2568 คาดว่าอัตรากำไรที่ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายได้ (EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับ 70-75% ยังอยู่ที่ระดับใกล้เคียงเดิมจากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านปริมาณการขายคาดจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 500,000-505,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568 เพราะต้นทุนการผลิตที่ลดลง และปริมาณการขายของโครงการ Sinphuhorm ที่มีการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 90% ตั้งแต่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา และปริมาณน้ำมันดิบที่จะเพิ่มขึ้นตามรอบในไตรมาส 2 ปี 2568
ขณะที่ปริมาณการขายทั้งปี 2568 คาดว่าเพิ่มเป็น 505,000-510,000 บาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยหลักมาจากโครงการ Erawan G1/61 ที่จะสามารถผลิตได้ 800 ล้านลูกบากศ์ฟุตได้เต็มปี รวมถึงกาเข้าซื้อสัดส่วนของ โครงการ Sinphuhorm ที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติในโครงการ Arthit ที่มีการเจรจาปรับ DCQ เพิ่มขึ้น เป็น 330 ล้านลูกบากศ์ฟุตต่อวัน มีผลตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2568
ทางด้านราคาขาย ในไตรมาส 2 ปี 2568 และทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 5.8 ดอลลาร์ต่อ MMBTU มีการปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับลดลง และต้นทุนเฉลี่ย อยู่ที่ระดับ 30 ดอลลาร์ต่อ BOE เพิ่มสูงขึ้นจากสินทรัพย์ที่เริ่มพร้อมใช้งานเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 488 ล้านดอลลาร์ ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น จากราคาลดลงและต้นทุนเพิ่มขึ้น