TOP กำไร Q1/68 วูบ 40 % ที่ 3,503 ลบ. โครงการ CFP เสร็จดันกำลังกลั่น 4 แสนบาร์เรล

TOP รายงานกำไร Q1/68 วูบหนัก 40 % ที่ 3,503 ล้านบาท ผลกระทบ stock loss และ ขาดทุนมูลค่ายุติธรรม พร้อมแจงโครงการ CFP กำหนดสร้างเสร็จ Q3/71 ดันกำลังผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวัน
KEY
POINTS
บริษัท ไทยออลย์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันลดลง 4.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก Q1/67 ขณะที่มีรายการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือ นํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูป 80 ล้านบาท เทียบกับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือนํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูป 824 ล้านบาท ใน Q1/67
เมื่อรวมกําไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ (รวมเฉพาะรายการที่เกิด จากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA ลดลง 4,487 ล้านบาทจาก Q1/67 โดยใน Q1/68 กลุ่มไทย ออยล์มีกําไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือการเงิน 192 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน 147 ล้าน บาท ใน Q1/67 เมื่อรวมกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่เพิ่มขึ้น 951 ล้านบาท
ขณะที่กําไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯลดลง 58 ล้านบาท และเมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และการค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ส่งผลให้ใน Q1/68 กลุ่มไทยออยล์กําไรสุทธิที่ 3,503 ล้านบาท ลดลง 2,359 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าหรือลดลง 40 %
โดย Q1/68 กลุ่มไทยออยล์มีกระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมดําเนินงาน 2,642 ล้านบาท สาเหตุหลักจากผลกําไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 4,399 ล้านบาท และมีรายการปรับกระทบยอดกําไรก่อนภาษีเป็นเงินเพิ่มขึ้น 2,750 ล้านบาท และมีเงินสดได้มาจากสินทรัพย์และหนี้สินดําเนินงานลดลง 9,720 ล้านบาท และจ่ายเงินภาษีเงินได้สุทธิ 69 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์มีกระแสเงินสดได้มาจากกิจกรรมลงทุน 2,847 ล้านบาท
โดยสาเหตุหลักมาจากจากการบังคับหลักประกันภายใต้สัญญาจ้างเหมาทําของ การออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC Contract) ประมาณ 12,241 ล้านบาท ขณะที่มีเงินสดจ่ายจากการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินระยะสั้น 7,465 ล้านบาท และมีเงินสดจ่าย เพื่อซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 1,848 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project)
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์มีกระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 2,929 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักจากการจ่ายต้นทุนทางการเงิน 1,031 ล้านบาท ประกอบกับมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกําหนด 996 ล้านบาท และมีเงินสดจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินสุทธิ 363 ล้านบาท จากรายการกระแสเงินสดจากกิจกรรมข้างต้น ทําให้กลุ่มไทยออยล์มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลงสุทธิ 2,724 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์มีผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนทําให้เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้น 131 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินสดและ รายการเทียบเท่าเงินสดต้นงวด 29,042 ล้านบาท กลุ่มไทยออยล์จึงมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 26,450 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568
TOP ได้สรุป แผนการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) จากเหตุการณ์ที่ผู้รับเหมาหลักไม่ชําระเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้กับผู้รับเหมาช่วงที่ผู้รับเหมาหลักจ้างให้ ทํางานในการก่อสร้างโครงการ CFP จนทําให้ผู้รับเหมาช่วงหยุดงานหรือลดจํานวนคนงานลง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทฯ จึงต้องพิจารณา ทางเลือกในการดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จ ซึ่งมีการเตรียมความพร้อมโดยให้ที่ปรึกษาด้านเทคนิค (Technical Advisor) มาตรวจสอบและ วิเคราะห์การก่อสร้างที่เหลืออยู่ของโครงการ จากรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์ของที่ปรึกษาด้านเทคนิค เห็นว่าการที่จะก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 โดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้ อนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP เป็นจํานวนเงินประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 505 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดของ โครงการ CFP เป็นจํานวนเงินประมาณ 241,472 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 7,151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้าง ประมาณ 37,216 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,078 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ต่อมา ในวันที่ 24 เมษายน 2568 บริษัทฯ ได้ใช้สิทธิบอกเลิก สัญญา EPC โดยมีผลทันที เนื่องจากผู้รับเหมาหลักไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพันในสัญญา EPC ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา EPC จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ
โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดทําแผนงานเพื่อดําเนินการให้โครงการ CFP แล้วเสร็จ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2571 และได้มีการจัดจ้างที่ปรึกษาที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ เพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการ โครงการด้านวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ และให้การสนับสนุนบริษัทฯ ในการบริหารจัดการโครงการในแต่ละระยะจน แล้วเสร็จ ทั้งนี้ งานก่อสร้างโครงการ CFP จะดําเนินการต่อโดยผู้รับเหมาที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการก่อสร้างโครงการ ขนาดใหญ่เพื่อให้การดําเนินงานก่อสร้างโครงการ CFP แล้วเสร็จสมบูรณ์ตามแผนงานของบริษัทฯ
หากการดําเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จจะทําให้บริษัทฯ มีหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบใหม่ที่มีขนาดกําลังการกลั่นสูงทดแทนหน่วยกลั่นเดิม ส่งผลให้ กําลังการกลั่นนํ้ามันดิบของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากเดิม 275,000 บาร์เรลต่อวันเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ก่อให้เกิดการประหยัดด้านขนาด (Economies of Scale) อีกทั้งด้วยการออกแบบให้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทําให้สามารถกลั่นนํ้ามันดิบที่มีความหลากหลาย
รวมทั้งนํ้ามันดิบชนิด หนักที่โดยทั่วไปมีราคาตํ่ากว่าราคานํ้ามันดิบชนิดอื่น ทําให้สามารถผลิตนํ้ามันสําเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้ง เพิ่มโอกาสในการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่ได้ในการเติบโตในธุรกิจปิโตรเคมีในอนาคต เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทฯ และสร้าง ความมั่นคงและยั่งยืนในธุรกิจการกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียมในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีส่วนสําคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว






