เพลิงแห่งภารตะ...แสงใหม่ใต้เงาสงครามการค้า

เพลิงแห่งภารตะ...แสงใหม่ใต้เงาสงครามการค้า

หุ้นอินเดียจะมีปัจจัยบวกหลายประการข้างต้น แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นตลาดเกิดใหม่ ทำให้ความผันผวนสูง การเข้าถึงข้อมูลหุ้นรายตัวย่อมทำได้ยาก และการประเมินถึงปัจจัยพื้นฐานของแต่บริษัทมีความท้าทาย จึงแนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่มีผู้เชี่ยวชาญผู้มีประสบการณ์เลือกเฟ้นหุ้นอินเดียคุณภาพดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีศักยภาพเติบโตสูง

เดือนเมษายนที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นเดือนแห่งความผันผวน ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรงในช่วงต้นเดือนจากความกังวลสงครามการค้า โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่การตอบโต้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจีนอยู่ที่ 145% และจีนเรียกเก็บสหรัฐฯ ที่ 125% นำไปสู่ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ด้านรายงานล่าสุดจาก IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8% จากเดือนมกราคมที่คาดไว้ที่ 3.3%

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นก็รีบาวด์กลับมาได้บ้าง หลังจากที่คุณทรัมป์ประกาศระงับการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วัน ภาพรวมสถานการณ์ดูคลี่คลายลง โดยเปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับทั่วโลก มาเป็นสหรัฐฯ กับจีนเป็นหลัก ในระยะข้างหน้า เชื่อว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างไม่ต้องการให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย หลัง GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 1 หดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2022 ด้านเศรษฐกิจจีนก็ยังมีแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ ที่ยังอ่อนแรงต่อเนื่อง

แม้ประเด็นสงครามการค้าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ขึ้นอยู่กับการเจรจาทางการค้าของแต่ละประเทศ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่อจากนี้ จึงยังคงแนะนำนักลงทุนกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และถือครองเงินสดไว้บางส่วน 

ในส่วนของหุ้น แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจำกัด และมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยประเทศที่เป็นดาวเด่นอยู่ในตอนนี้คือหนีไม่พ้นอินเดีย ด้วยปัจจัยสนับสนุนดังนี้

(1) เศรษฐกิจอินเดียพึ่งพาการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ส่วนภาคการส่งออกนั้น อินเดียเริ่มผลักดันการส่งออกบริการ เช่น การขาย Software การให้บริการทางการเงิน การท่องเที่ยว ทำให้อินเดียลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้า ด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียพึ่งพารายได้จากสหรัฐฯ เพียง 8% ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในตลาดเกิดใหม่

(2) อินเดียถือว่าปลอดภัยด้านสงครามการค้า โดยล่าสุดรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย เจ.ดี. แวนซ์ เข้าพบนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ทั้งสองต่างส่งสัญญาณบวกถึงความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้อินเดียยังได้ขึ้นภาษีบนเหล็กที่ส่งออกมาจากจีน และก่อนหน้านี้ได้ปิดประตูการลงทุนของบริษัท BYD ในอินเดีย ในทางกลับกันกลับต้อนรับ Tesla แสดงถึงจุดยืนว่าอินเดียเข้าข้างสหรัฐฯ

(3) อินเดียมีศักยภาพการเติบโตสูงมาก โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตได้มากกว่า 6% ทั้งในปีนี้และปีหน้า หนุนจากจำนวนประชากรมหาศาลที่ยังอยู่ในวัยแรงงาน ซึ่งเศรษฐกิจที่เติบโตสูงนี้ ส่งผลบวกต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนด้วย

(4) เงินเฟ้ออินเดียอยู่ในกรอบเป้าหมาย เปิดช่องให้ธนาคารกลางอินเดียสามารถลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้

(5) ก่อนหน้านี้นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองว่าหุ้นอินเดียแพง แต่หลังจากที่หุ้นอินเดียปรับตัวลงมาในช่วงช่วงปลายปีที่แล้ว และในระยะนี้ที่มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานกดดันราคาหุ้นชั่วคราว ทำให้ตอนนี้หุ้นอินเดียซื้อขายในระดับราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น โดยเทรดที่ P/E ราว 23 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง 

(6) คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ตามทิศทางดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพเติบโตอีกมหาศาล เพราะปัจจุบันภาคครัวเรือนอินเดียยังถือครองหุ้นในสัดส่วนราว 5% ของเงินออมเท่านั้น และรัฐบาลอินเดียยังมีโครงการ Systematic Investment Plan ที่สนับสนุนให้คนอินเดียเก็บออมเงินเพื่อการเกษียณผ่านการลงทุนในกองทุนหุ้นที่ลดหย่อนภาษีได้ คล้ายๆกับกองทุน Thai ESGX บ้านเรา

แม้หุ้นอินเดียจะมีปัจจัยบวกหลายประการข้างต้น แต่ด้วยความที่เป็นหุ้นตลาดเกิดใหม่ ทำให้ความผันผวนสูง การเข้าถึงข้อมูลหุ้นรายตัวย่อมทำได้ยาก และการประเมินถึงปัจจัยพื้นฐานของแต่บริษัทมีความท้าทาย จึงแนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่มีผู้เชี่ยวชาญผู้มีประสบการณ์เลือกเฟ้นหุ้นอินเดียคุณภาพดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีศักยภาพเติบโตสูง และมีการบริหารเชิงรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภาพรวมการลงทุนยังถูกปกคลุมไปด้วยความเสี่ยงจากสงครามการค้า