ส่องงบ ‘ 7 หุ้นนางฟ้า ’ ไตรมาส 1 ปี 68 ใครรอด ใครร่วงในสงครามภาษี

ส่องผลประกอบการ ‘ 7 หุ้นนางฟ้า ’ Q1 ปี 68 บริษัทเทคยักษ์ใหญ่สหรัฐเผชิญความท้าทายจาก AI จีน สงครามภาษี และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไตรมาสนี้ใครรอด ใครร่วงผ่านรายได้ และกำไร
แม้ว่ากลุ่ม “7 หุ้นนางฟ้า“ หรือ Magnificent 7 ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐจะเคยสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจอย่างมหาศาลในปี 2566 และ 2567 แต่ทว่าในปี 2568 ผลการดำเนินงานโดยรวมของหุ้นกลุ่มนี้กลับไม่สดใสนัก
ภาคเทคโนโลยีของสหรัฐกำลังเผชิญกับอุปสรรค และความท้าทายหลายด้าน ทั้ง Deepseek ผลกระทบจากมาตรการทางภาษีศุลกากร และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว วันนี้ กรุงเทพธุรกิจ รวบรวมผลการดำเนินงานของหุ้นทั้ง 7 ในไตรมาสแรกปี 2568 หุ้นแต่ละตัวได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
1.Apple
Apple (AAPL) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ประกาศรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีรายได้ 9.54 หมื่นล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 5.08% และมีกำไรสุทธิ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 4.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Apple กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สอง อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าเป็นการยากที่จะคาดการณ์สถานการณ์หลังจากเดือนมิถุนายน เป็นต้นไป เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนแน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรในอนาคต
“บริษัทจะยังคงดำเนินไปในทิศทางเดิมที่เคยปฏิบัติมา คือ การตัดสินใจอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะยาว การทุ่มเทให้กับนวัตกรรม และการมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อเรามองไปข้างหน้า เรายังคงมีความมั่นใจ" คุก กล่าวในการประชุม
2.Amazon
"อเมซอน" Amazon (AMZN) บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกเมื่อ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาเผยรายได้ 1.55 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.62% มีกำไร 1.71 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 64.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทได้ออกประมาณการผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 2 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานจะอยู่ในช่วง 13,000 - 17,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงจาก 14,700 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน การปรับลดคาดการณ์นี้อาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยท้าทายต่างๆ รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้า
3.Microsoft
"ไมโครซอฟท์" Microsoft (MSFT) บริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 เมื่อวันพุธที่ 30 เม.ย.68 ที่ผ่านมามีรายได้ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13.27% และมีกำไร 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.71% จากปีก่อน โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเกินความคาดหมายนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Microsoft พุ่งสูงขึ้นถึง 9% ในวันที่ 1 พ.ค.68
เบน บาร์ริงเกอร์ นักวิเคราะห์เทคโนโลยีระดับโลกจาก Quilter Cheviot ให้ความเห็นว่า "ธุรกิจคลาวด์ Azure ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยขยายตัวถึง 35% และบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีส่วนสำคัญถึง 16 %
"ความต้องการบริการ AI ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าช่วยขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ๆ สะท้อนจากยอดการจอง ที่เพิ่มขึ้นถึง 18%"
4.Meta
"เมตา" Meta (META) บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 เมื่อ 30 เม.ย. มีรายได้ 4.23 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.07% มีกำไร 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 34.56% จากปีก่อน ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น 4% ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2025
จากผลประกอบการล่าสุด Meta ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายจ่ายลงทุนตลอดทั้งปี 2025 เป็นช่วง 64,000 - 72,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 60,000 - 65,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะการลงทุนด้าน AI ที่กลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจ หลังจาก DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากประเทศจีนได้เปิดตัวโมเดล AI ต้นทุนต่ำเมื่อช่วงต้นปีนี้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า Meta สามารถทำกำไรได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ติดต่อกันมาถึง 9 ไตรมาสแล้ว และการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นทั้ง Microsoft และ Meta หลังการประกาศผลประกอบการ น่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐต่อไป
5.Tesla
"เทสลา" Tesla (TSLA) ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกเมื่อวันอังคารที่ 22 เม.ย. เผยรายได้อยู่ที่ 19,340 ล้านดอลลาร์ ลดลง 9.23% จากปีก่อน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 21,430 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิ 409 ล้านดอลลาร์ ร่วงลงอย่างหนักถึง 70.58% จากปีก่อน นอกจากนี้ยอดส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรกก็ต่ำกว่าคาด โดยอยู่ที่ 336,681 คัน เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ 390,342 คัน
ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวลดลงถึง 41% ตั้งแต่ต้นปี ถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกระแสต่อต้านบทบาทของ “อีลอน มัสก์” ซีอีโอTesla ในฐานะหัวหน้าหน่วยงาน DOGE ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น Tesla กลับปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่มัสก์กล่าว ในระหว่างการประชุมหลังการประกาศผลประกอบการว่าจะใช้เวลาในวอชิงตัน ดี.ซี. ลดลง และจะกลับมาให้เวลากับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของเขามากขึ้น
"ตั้งแต่ต้นเดือนหน้า ในเดือนพ.ค. การจัดสรรเวลาของผมให้กับ DOGE จะลดลงอย่างมาก"
นอกจากนี้ Tesla ยังคงยืนยันแผนการในอนาคต โดยระบุว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ราคาประหยัดมีกำหนดจะเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และคาดว่าจะเริ่มการผลิต Robotaxi ในปี 2569
6.Alphabet
"อัลฟาเบท" Alphabet ( GOOGL , GOOG) บริษัทแม่ของ Google ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกเมื่อ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา รายงานรายได้รวม 90,200 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิพุ่งสูงขึ้นถึง 45.97% แตะระดับ 34,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ไว้ และบรรเทาความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการเผชิญกับ ความตึงเครียดทางการค้าและผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
7.Nvidia
“อินวิเดีย” Nvidia (NVDA) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่มีกำหนดการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในวันพุธที่ 28 พ.ค.68 นี้ โดยปกติแล้ว Nvidia มักจะรายงานผลประกอบการในช่วงท้ายของฤดูกาล ซึ่งยิ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทเป็นที่คาดหวังและจับตามองมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ Nvidia ประกาศผลงานไตรมาส 4 ปี 2025 มีรายได้อยู่ที่ 39,330 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 22,090 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปีนี้ Nvidia ในฐานะหุ้นขวัญใจนักลงทุนด้าน AI กำลังอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากความผันผวนของราคาหุ้น โดยราคาได้ปรับตัวลดลงไปแล้วถึง 26% ตั้งแต่ต้นปี หลังจาก DeepSeek ปรากฏในเดือนม.ค. ซึ่งป่วนตลาด AI และฉุดราคาหุ้น Nvidia ร่วงลงอย่างรวดเร็ว จนมูลค่าตลาดของบริษัทลดลงถึง 5.89 แสนล้านดอลลาร์ในวันเดียว
นอกจากนี้ แรงกดดันต่อหุ้นยังมาจากการคาดการณ์ของ Nvidia เองเกี่ยวกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสแรก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 70.6% - 71% ลดลงจาก 73% ที่รายงานในไตรมาสที่สี่ของปีก่อน ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดทางการค้า และภาษีศุลกากร
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Nvidia ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐกำหนดให้บริษัทต้องขอใบอนุญาตสำหรับการส่งออกชิป AI รุ่น H20 ไปยังประเทศจีน โดย Nvidia ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบทางการเงินต่อบริษัทเป็นมูลค่าถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์
อ้างอิง Yahoo Finance
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







