เปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 700 จุด รับข่าวจีดีพีสหรัฐติดลบ

เปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 700 จุด ท่ามกลางแรงเทขายอย่างรุนแรงหลัง จากรายงานจีดีพีสหรัฐติดลบในไตรมาสแรก มกราคม-มีนาคม ปีนี้
ซีเอ็นบีซี รายงานดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงในช่วงเปิดตลาดวอลล์สตรีทวันพุธ (30 เม.ย.) ส่งผลให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นในเดือนเมษายนต้องชะงักลง เนื่องจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวในไตรมาสแรก ทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยภายใต้แรงกดดันจากนโยบายต่างๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะด้านการค้า
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ร่วงลง 756 จุด หรือ 1.9% ดัชนี S&P 500 ร่วงแรง ลดลง 2.2% ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ดิ่ง 2.8%
กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยในวันพุธว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาสแรกหดตัว 0.3% ซึ่งพลิกกลับอย่างไม่คาดหมาด จากการขยายตัว 2.4% ในไตรมาสที่สี่ปีที่แล้ว
การนำเข้าพุ่งขึ้น 41% ในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามรับมือกับการสงครามทางการค้าโลกของทรัมป์ การนำเข้าถูกหักออกจากจีดีพีจึงมีส่วนส่งกระทบทำให้จีดีพีติดลบ รายงานยังแสดงให้เห็นว่า รายจ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวครั้งใหญ่และการใช้จ่ายของรัฐบาลก็ลดลงท่ามกลางการลดการใช้จ่ายของอีลอน มัสก์ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ (DOGE)
รายงานแยกต่างหากจาก ADP ยังส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยการเติบโตของการจ้างงานใหม่ภาคเอกชนชะลอตัวลงในเดือนเมษายนเหลือเพียง 62,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าอย่างมากจากการประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดย บริษัทดาวโจนส์ ทซึ่งประมาณไว้ที่120,000 ตำแหน่ง
ข้อมูล GDP ที่ย่ำแย่ทำให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นในเดือนเมษายนชะงักงัน การประกาศภาษีศุลกากรแบบ “ตอบโต้” ของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายนทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำ โดยดัชนี S&P 500 ลดลงมากกว่า 11% ในช่วงหนึ่งของเดือนและลดลงเกือบ 20% จากสถิติเดือนกุมภาพันธ์ การฟื้นตัวตามมาเมื่อทรัมป์ยุติการเรียกเก็บภาษีที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และดัชนี S&P 500 ก่อนถึงวันพุธลดลงเพียงประมาณ 1% ในเดือนนี้
ดัชนีหลักปิดตลาดในวันอังคารสูงขึ้น หลังจากที่นายฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับซีเอ็นบีซี ว่าทำเนียบขาวใกล้จะประกาศข้อตกลงการค้าแล้ว แต่ไม่ได้ระบุชื่อประเทศคู่ค้า ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ทรัมป์กล่าวว่าการเจรจาภาษีศุลกากรกับอินเดีย "ดำเนินไปได้ด้วยดี" และสหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงกับอินเดียได้ในไม่ช้านี้
แต่การขายหุ้นกลับเข้ามาในวันพุธ โดยรายงาน GDP ที่อ่อนแอทำให้เกิดความกังวลว่าความโกลาหลที่เกิดจากนโยบายที่เร่งรีบของทรัมป์อาจผลักดันให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยก่อนที่จะมีการบังคับใช้ข้อตกลงการค้าที่สำคัญใดๆ
ทรัมป์โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดีย Truth Social กล่าวโทษ ผลพวงมาจากนโยบายเศรษฐกิจของอดีตประธานาธิบดีไบเดน โดยบอกผู้คนว่า อดทนไว้ และว่านโยบายของเขา จะต้องใช้เวลาสักระยะ จึงจะมีผล
"การเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างต่อเนื่องทำให้ธุรกิจและนักลงทุนเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนในระดับสูงมาก" สก็อตต์ เฮลฟ์สเตน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ Global X กล่าว “รายงานนี้น่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับฝ่ายบริหารชุดใหม่ แต่บางทีความตั้งใจที่จะสร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวอาจถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป”
ราคาหุ้น First Solar ร่วงลงมากกว่า 10% หลังจากที่ มาร์ก วิดมาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่าภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีก่อให้เกิด “อุปสรรคทางเศรษฐกิจที่สำคัญ” สำหรับโรงงานผลิตของบริษัทเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ โดยได้ปรับลดการคาดการณ์รายได้ทั้งปีเพื่อตอบสนองต่อเรื่องนี้ ด้าน GE Healthcare
ก็ปรับลดการคาดการณ์รายได้สำหรับปีนี้เพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน หุ้นของ Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ชื่อดัง ร่วงลงเกือบ 4% Super Micro Computer ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ร่วงลงมากกว่า 16% Super Micro เปิดเผยผลประกอบการเบื้องต้นที่อ่อนแอสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ
- "พายุลูกใหญ่”
พอล สแตนลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทบริหารความมั่งคั่ง Granite Bay Wealth Management กล่าวว่า การหดตัวอย่างไม่คาดคิดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกเกิดขึ้นท่ามกลางพายุลูกใหญ่ (Perfect Strom) ที่กำลังโหมกระหน่ำ แต่เขาเตือนว่าอย่าด่วนสรุปเกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ
สแตนลีย์ ระบุว่า"ตัวเลข GDP ของวันพุธแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวในไตรมาสแรก เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น เช่น ความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากรและการลดการใช้จ่ายของภาครัฐตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ"
สแตนลีย์ กล่าวว่า "แม้ว่าตัวเลข GDP ที่ติดลบจะน่ากังวล แต่ยังคงไม่สามารถสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่" เขากล่าวเสริม "ยังจะมีการทบทวนประมาณการ GDP ไตรมาสแรกอีก 2 รอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะเป็นอย่างไร"