ตลาดเริ่มมีสัญญาณบวก แต่เศรษฐกิจยังน่ากังวล…ลงทุนอย่างไรดี

กลยุทธ์การลงทุน SCB CIO แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่า ในระยะสั้นข่าวเชิงบวกจากการเจรจาการค้าที่คืบหน้ามากขึ้น อาจส่งผลให้นักลงทุนกลับมามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศ เช่น การจ้างงาน รวมทั้ง Guidance ของบจ. จะสะท้อนผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดฯ อาจกลับมากังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น
สถานการณ์ตลาดโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน จากความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น มีปัจจัยหลักมาจาก ความตึงเครียดด้านนโยบายการค้า โดยการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังคงขึ้นอยู่กับการเจรจาทวิภาคี ซึ่งมีแนวโน้มลดความตึงเครียดลงและมีความคืบหน้ามากขึ้นในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม แม้ Bessent รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ จะยอมรับว่าสงครามการค้านั้น “ไม่ยั่งยืน” แต่การเจรจาโดยตรงระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนยังไม่เริ่มต้น และสารที่สื่อออกมายังไม่แน่นอน ส่งผลให้นักลงทุนยังคงระมัดระวัง เนื่องจาก ห่วงโซ่อุปทานระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอาจหยุดชะงักลงได้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลต่อ ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และความเป็นอิสระของ Fed จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่า ประธาน Fed ดำเนินการลดดอกเบี้ยล่าช้าเกินไป และอาจนำมาสู่การปลดประธาน Fed ส่งผลให้ นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk off) อย่างรุนแรงในตลาด ทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรปรับตัวลดลงพร้อมกัน ท่ามกลางการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. โดยนักลงทุนเริ่มสงสัยถึงบทบาทของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ สรอ.ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดี หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมายืนยันว่า จะไม่ถอดถอนประธาน Fed ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ได้ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนว่า ความกังวลสูงสุดเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
SCB CIO มีมุมมองว่า ข่าวเชิงบวกจากการเจรจาการค้าสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยงได้ในระยะสั้น ขณะที่ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจจะยังคงมีอยู่ ทั้งบนประเด็นของเศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง (Stagflation) หรือเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งเกิดจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีการเรียกเก็บจากประเทศต่างๆ ไปแล้ว และที่อาจจะเก็บเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ในระยะสั้น นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับการประกาศตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ และโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed นอกจากนี้ นักลงทุนจะยังจับตาการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) สหรัฐฯ ในไตรมาส 1/2568 ที่ทยอยประกาศออกมาแล้ว ซึ่งกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบจ.บน ดัชนี S&P500 ในไตรมาส 1/2568 ได้ทยอยถูกปรับประมาณการลดลงมาอยู่ที่ +6%YoY ทำให้เราคาดว่ามีโอกาสสูงที่ EPS อาจออกมาดีกว่าที่คาด (positive EPS surprise) แต่ขนาดของ positive surprise อาจไม่ได้สูงนัก ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจ soft data อย่างดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ PMI รวมภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลงในช่วงไตรมาส 1 และ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ บจ.สหรัฐฯ อาจพิจารณาปรับลด EPS guidance ลง นอกจากนี้ เราคาดว่า EPS ของดัชนีฯ ในปี 2568 เสี่ยงถูก Consensus ปรับประมาณการลงจากปัจจุบันที่คาด +8%YoY ตามที่ภาษีนำเข้า มีแนวโน้มเพิ่มต้นทุน ซึ่งจะกดดันอัตรากำไร (Margin) และ EPS
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่า ในระยะสั้นข่าวเชิงบวกจากการเจรจาการค้าที่คืบหน้ามากขึ้น อาจส่งผลให้นักลงทุนกลับมามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศ เช่น การจ้างงาน รวมทั้ง Guidance ของบจ. จะสะท้อนผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดฯ อาจกลับมากังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้เข้าลงทุนในระยะสั้น ขณะที่ คงสัดส่วนการลงทุนระยะยาวในพอร์ตหลัก ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) เนื่องจาก เรามอง กำไรบจ.ของสหรัฐฯ ในระยะยาว ยังมีแนวโน้มเติบโต และกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยได้อานิสงส์จากกระแส AI และการผ่อนคลายกฎระเบียบ ควบคู่กับ แผนลดภาษีเงินได้
ในด้านของตราสารหนี้ SCB CIO คาดว่า Bond Yield สหรัฐฯ ระยะยาว ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก ตามที่นักลงทุนต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยง (Term Premium) จากการถือครองพันธบัตรระยะยาวมากขึ้น เนื่องจาก ความกังวล 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ความกังวลว่า นโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของทรัมป์ จะเพิ่มต้นทุนการนำเข้า และกระทบห่วงโซ่อุปทาน จนทำให้เงินเฟ้อ และคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 2) ความกังวลหนี้สาธารณะ และการขาดดุลงบประมาณ ต่อ GDP สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มการผลักดันร่างงบประมาณใช้จ่ายของสหรัฐฯ จะนำไปสู่การออกขายพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มากขึ้น และ 3) ความกังวลว่า นักลงทุนต่างชาติที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ มากๆ เช่น จีน อาจขายลดสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้สหรัฐฯ เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ในกรณีที่สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ดี จึงทำให้นักลงทุนขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาก่อน เพื่อสำรองเงินสดเป็นสภาพคล่องไว้แทน และจากเหตุผลทางเทคนิค ที่ Hedge Fund ต่างๆ ซึ่งใช้กลยุทธ์ basis trade คือ Long พันธบัตรสหรัฐฯ ใน Cash Market และ ขาย Short สัญญาสวอปอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap) เพื่อเก็งกำไร พร้อมทั้ง กู้ยืมเงินเพื่อเพิ่มผลตอบแทน (Leverage) ทำให้เมื่อ Bond yield สหรัฐฯ ผันผวนมาก และเพิ่มขึ้น จึงอาจถูกเรียกให้เพิ่มเงินประกัน (call margin) และนำไปสู่การขายพันธบัตรสหรัฐฯ จำนวนมากออกมา ทำให้ Bond Yield พุ่งขึ้นรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยทางทคนิคนี้ อาจเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว แต่ยังสามารถลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ระยะสั้นถึงกลางได้ เพื่อรับประโยชน์ จาก Yield ที่ยังสูง และจากการที่ตลาดมีแนวโน้มปรับเพิ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตามความกังวลบนเศรษฐกิจ ในขณะที่ ราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้นถึงกลาง ไม่ได้ปรับลดลงมากเท่ากับพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาว เมื่อ Bond Yield เพิ่มขึ้น และยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุนได้







