ก.ล.ต. พร้อมยื่นศาลปรับ JKN สูงสุด แบนห้ามเป็นผู้บริหาร 10 ปี

ก.ล.ต. พร้อมยื่นศาลปรับ JKN สูงสุด แบนห้ามเป็นผู้บริหาร 10 ปี

ก.ล.ต. ชัดกลับ กล่าวโทษ JKN และ “แอน ”จักรพงษ์ มีความผิดตามอำนาจทางกฎหมายถือว่าเป็นข้อยุติ หากไม่ปฎิบัติพร้อมส่งฟ้องอัยการต่อศาลแพ่งโทษปรับสูงสุดและแบนเป็นกรรมการ-ผู้บริหาร10ปี

สร้างกระแสและประเด็นร้อนแรงในตลาดหุ้นไทยมาตลอดสำหรับความเคลื่อนไหวของ “แอน ” จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่- ประธานกรรมการบริหารประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ JKN หลังเผชิญสภาพคล่องชะงักจากการลงทุนในลิขสิทธิ์  ธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization: MUO) กระทบผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ก้อนใหญ่จนต้องยื่นเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูทันที ท่ามกลาง “ตัวแทนเจ้าหนี้” และ “เจ้าหนี้” ยังคาดไม่ถึง 

พร้อมมีความเคลื่อนไหวแก้ไขปัญหาด้วยการหาพันธมิตรเข้ามาลงทุนใน MUO จนกลายเป็นที่มาปมประเด็นร้อนในตอนนี้ หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงดาบกล่าวโทษปรับทางแพ่งและห้ามเป็นกรรมการ-ผู้บริหารถึง 56 เดือน 

โดยระบุ เข้าตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2567 เวลา 14.00 น. JKN โดย “จักรพงษ์”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศของ JKN ได้เปิดเผยผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ระบบ SETLink) ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้ JKN ชี้แจงกรณีปรากฏข่าวบนสื่อออนไลน์ว่า JKN ได้ขายธุรกิจ MUO ให้แก่นายราอูล โรชา เศรษฐีชาวเม็กซิกัน ซึ่ง JKN ชี้แจงโดยสรุปว่า JKN ได้มีการดำเนินการหาและติดต่อนักลงทุนหลากหลายราย และได้ศึกษารายละเอียดข้อเสนอลงทุนของนักลงทุนมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว

ความเป็นจริงแล้ว ในช่วงเวลานั้น JKN โดย JKN Global Content Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JKN ได้ดำเนินการขายหุ้นของ JKN Legacy, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล และครอบครองลิขสิทธิ์นางงามจักรวาล (Miss Universe) ให้แก่ Legacy Holding Group USA Inc. ในจำนวน 50 %ของหุ้นทั้งหมด โดยเข้าทำสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2566

นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อมูลว่า Legacy Holding Group USA Inc. มีนายราอูล โรชา เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดังนั้น ข้อความที่ JKN เผยแพร่ดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงหรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลของ JKN โดยประการที่น่าจะทำให้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ JKN 

ก.ล.ต. พร้อมยื่นศาลปรับ JKN สูงสุด แบนห้ามเป็นผู้บริหาร 10 ปี หลังประกาศออกมามีความเคลื่อนไหวจาก JKN และแอน จักรพงษ์ ผ่านสื่อโซเซียลมีเดีย “ยังไม่เห็นพ้องคำวินิจฉัยของ ก.ล.ต. จากความคลาดเคลื่อนความจริงหลายประเด็น โดยเหตุที่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลธุรกรรมที่ยังมีความไม่มีแน่นอนและยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์อาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน เพื่อเป็นการพิสูจณ์ความบริสุทธิ์ตามขั้นตอนกฎหมายลำดับถัดไป”

รวมทั้งการมติประชุมบอร์ด JKN เปิดเผยย้ำถึงการไม่เห็นพ้องต่อการกล่าวโทษก.ล.ต.  ในส่วน “แอน จักรพงษ์” เป็นความผิดเฉพาะบุคคล จึงยังมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายในการดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เช่นเดิม และไม่พบว่าเป็นกรรมการและผู้บริหารสูงสุดของบริษัทมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจอื่นใดในการดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารของบริษัท ตามประกาศ ก.ล.ต. ที่ กจ.3/2560 เรื่อง การกำหนดลักษณะขาดความน่าไว้วางใจของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท  จึงมีมติเห็นชอบยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการ กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน ประธานกรรมการบริหารประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการของบริษัทตามเดิม

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวถึง ประเด็นดังกล่าวการพิจารณาโทษปรับตาม คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ถือว่าสิ้นสุด  ดังนั้นการตัดสินใจของบอร์ดบริหารของบริษัทจะออกมามีมติด้วยเหตุผลอย่างไรไม่ก้าวล่วงเพราะเป็นการตัดสินใจของแต่ละท่าน แต่การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. ที่ออกมามีความผิดตามการใช้อำนาจทางกฎหมายถือว่าเป็นข้อยุติแล้ว

ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวโทษจะดำเนินการอย่างไรนั้น หากโทษทางแพ่งและยอมรับโดยสมบูรณ์สามารถจ่ายค่าปรับซึ่งมีระยะเวลาให้ดำเนินการ พร้อมทั้งแบนการเป็นกรรมการและผู้บริหารบจ. ตามที่กำหนด หากไม่ยอมรับโทษปรับทาง ก.ล.ต. จะดำเนินการส่งเรื่องไปยังอัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาลแพ่งต่อไป โดยจะมีการเสนอโทษปรับเป็นสูงสุดตามกฎหมายและแบนการเป็นกรรมการและผู้บริหารบจ.สูงสุด 10 ปีเช่นกัน   

“โดยการกล่าวโทษถึงตัวบุคคลจะแยกยอมรับโทษปรับอย่างเดียวไม่ได้ และไม่สามารถแยกรับกล่าวโทษได้ด้วย  ซึ่งตามกฎหมายหากมีการยื่นฟ้องศาลแพ่งไปแล้วมีการพิสูจณ์ทราบที่เกี่ยวข้องจะไม่มีการเอาเหตุคุณสมบัติตามกฎหมายเข้ามาพิจารณา รวมทั้งเข้าสู่ศาลแพ่งแล้วจะไม่มีการยื่นอุทธรณ์ได้ ”