DELTA ทำกำไร Q1/68 พุ่ง 27% ที่5,488 ล้าน จากค่าเงิน-คำนวณภาษี

DELTA โชว์กำไร Q1/68 พุ่ง 27% ที่ 5,488 ล้านบาท จากธุรกิจโต 13% และยังรับรู้กำไรค่าเงิน 437 ล้านบาท และบันทึกกำไรหนี้ภาษีอีก 785 ล้านบาท
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA รายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้ มีจำนวน 5,700 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรร้อยละ 13.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.8 ของงวดเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่แตกต่างกันควบคู่กับประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 437 ล้านบาท ร่วมกับรายได้อื่น ๆ อีกทั้งมีการบันทึกประมาณการหนี้สินภาษีส่วนเพิ่ม 785 ล้านบาท ตามกฎการคำนวณภาษีเงินได้เสาหลักที่สอง (Pillar Two model rule) ที่ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งประเทศไทยได้มีการออกกฎหมายดังกล่าวแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ 5,488 ล้านบาท เติบโตสูงร้อยละ 27.4 จากปีก่อน คิดเป็ นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 12.8 และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.44บาท เทียบกับ 0.35 บาทต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้ อยู่ที่ 42,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 2.4 จากไตรมาสที่แล้วขับเคลื่อนโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งานในโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ เติบโตอย่างแข็งแกร่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เร่งตัวขึ้นมาก ควบคู่กับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการประมวลผลสมรรถนะสูงภายใต้การใช้งานแอปพลิเคชั่นอัจฉริยะ และบริการทางดิจิทัลหลากหลายรูปแบบในวงกว้าง
โดยบริษัทฯ เห็นแนวโน้มอุปสงค์ที่ดีจากกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ และกลุ่มโครงสร้างเครือข่าย นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติสำหรับภาคอุตสาหกรรมก็มีการเติบโตดีต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม รายได้กลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ยังคงอ่อนตัวจากสถานการณ์ดีมานด์ที่ผันผวน ขณะเดียวกัน กลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน กลุ่มผลิตภัณฑ์พลังงานโทรคมนาคมยังมีรายได้ทรงตัวจากช่วงก่อนหน้า
ทั้งนี้ บริษัทฯ คงมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดของปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อภาคธุรกิจเทคโนโลยีต่อไป