รากเหง้าปัญหาเศรษฐกิจไทยและผลกระทบจากภาษีทรัมป์

นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำหุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ทำให้ขาดแคลนแรงงานและตลาดสำคัญ ศักยภาพการแข่งขันของภาคธุรกิจที่ไม่ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเนื่องจากต้องรับมือกับวิกฤตต่างๆ โดยเฉพาะความไม่มั่นคงทางการเมือง และนโยบายเศรษฐกิจที่ตึงตัวเกินไปทำให้ขาดการลงทุนและสินเชื่อเข้าถึงยาก ความเปราะบางนี้สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทที่แข็งค่า การหดตัวของสินเชื่อ และดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระดับสูง
และเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศใช้นโยบาย Reciprocal Tariff อย่างเป็นทางการ กำหนดภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าจากทั่วโลก โดยประเทศเอเชียที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ โดนหนักที่สุด ไทยเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 36% ซึ่งจะกระทบภาคส่งออกอย่างรุนแรง และถึงแม้ว่าจะมีการชะลอการเก็บชั่วคราว 90 วัน (ยกเว้นจีน) และยังคงเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทย แต่กระแสข่าวล่าสุดที่ระบุว่า ทีมไทยที่จะเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. ถูกเลื่อนออกไป ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทย
เรามองว่า ผลกระทบจะเริ่มปรากฏชัดในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาส 3 และ 4 ที่เศรษฐกิจอาจเติบโตเพียง 0.4% และ 0.2% ตามลำดับ การส่งออกที่เคยขยายตัวได้ในระดับเกิน 10% ในไตรมาสแรก อาจหดตัวถึงระดับสองหลักในไตรมาส 4 ทำให้ทั้งปีหดตัวประมาณ 3% อุตสาหกรรมที่รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ ส่วนประกอบและชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรกล สินค้าเกษตร อัญมณี และยาง โดยปัญหาจะลุกลามไปสู่ภาคอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
ด้านเศรษฐกิจโลก เรามองว่ากำลังเข้าสู่ภาวะความผันผวนสูง คาดว่าอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงอย่างน้อย 1% (จาก 3.5% เหลือ 2.5%) แต่ระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับสถานการณ์สงครามการค้า ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูงและถูกเก็บภาษีมาก เช่น เวียดนาม (46%) ไต้หวัน (32%) และไทย (36%) จะได้รับผลกระทบมากกว่า
ขณะที่บางประเทศได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลกไว้แล้ว จีนกำลังขยายตลาดนอกประเทศพร้อมสร้างความแข็งแกร่งภายในด้วยการลงทุนและเน้นการบริโภค รวมถึงอาจลดค่าเงินหยวนรุนแรง ส่วนเยอรมนีมีนายกฯ คนใหม่ที่ยกเลิกวินัยการคลังที่ตึงเกินไป และตั้งกองทุน 5 แสนล้านยูโรเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับสหรัฐเองก็จะได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจอาจชะลอตัวจาก 1.9% เหลือ 0.9% จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ในระยะต่อไป เรากังวลว่า สถานการณ์สงครามการค้ารุนแรงขึ้น อาจกลายเป็นสงครามค่าเงิน โดยเฉพาะหากจีนตัดสินใจลดค่าเงินหยวนเป็นเครื่องมือตอบโต้ ซึ่งตามการคาดการณ์ของสำนักวิจัย Barclays หยวนอาจอ่อนค่าลงถึง 20% ผลกระทบจะกระจายไปทั่วระบบการเงินโลก ท้าทายสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลัก และทำให้เศรษฐกิจโลกอาจแตกเป็นหลายขั้วมากขึ้น
ในฐานะประเทศที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ ไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ภาครัฐควรเร่งเจรจาการค้ากับพันธมิตรใหม่ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ซึ่งมีสัญญาณดีจากการเร่งเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-ยุโรปที่หยุดชะงักมาตั้งแต่ปี 2014 หากสำเร็จจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับยุโรป 15-20% ในช่วง 3-5 ปี และเพิ่มสัดส่วนการค้าจาก 7% เป็น 10-15%
พร้อมกันนี้ ไทยควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 4 ล้านล้านบาท (20% ของ GDP) ทั้งถนน สะพาน ระบบราง และท่าเรือโดยเฉพาะฝั่งอันดามันที่จะช่วยเชื่อมการค้ากับเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบัน เช่น ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ 1-1.5% ในระยะสั้น
ด้านการเงินการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องเพิ่มการลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2025 เพื่อบรรเทาผลกระทบ ควบคู่กับมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ส่งออก นอกจากนี้ ไทยควรร่วมมือกับประเทศในอาเซียนที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการค้าภายในกลุ่มที่ยังต่ำเพียง 21% (เทียบกับยุโรปที่สูงถึง 60%)
สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ส่งออกต้องรีบหาตลาดใหม่ ส่วนธุรกิจในประเทศควร “เก็บคอ งอเข่า” ชะลอการลงทุนใหม่ในระยะสั้น ประชาชนควรเตรียมรับมือกับสึนามิเศรษฐกิจที่กำลังมาถึงด้วยการประหยัดมากขึ้น และพัฒนาทักษะใหม่โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี
จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.4% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.5% ทำให้เรามองว่า SET แกว่งตัวผันผวนและการซื้อขายยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง จากกังวลความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ และรอติดตามการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน เราจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก อันได้แก่
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดยมีกำไรเติบโตดี มีฐานะการเงินแกร่ง และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เราแนะนำ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT BCH BTG
2. หุ้นพื้นฐานราคาถูก และมี SET ESG Rating ระดับ A-AAA รวมถึงยังมีกำไรยังเติบโตได้ดี และฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ เราแนะนำ BJC CPF AP HMPRO OR
ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำหุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร
ขอให้นักลงทุนโชคดี
- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน
โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher
#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้