เปิด 12 สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 68 ทองคำพุ่งนำ 25%

เปิด 12 สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 68 ทองคำพุ่งนำ 25%

เปิด 12 สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 68 ทองคำพุ่งนำ 25% ขณะที่ MSCI Infra บวก 10% ส่วนดัชนีหุ้นไทยต่ำสุดลบ 18%

ความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามการค้ายังคงขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกผันผวนหนักจนหวั่นอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงดัชนีหุ้นโลกดิ่งหนักเช่นกัน แต่ทว่าทองคำกลับสามารถบวกสวนทางสถานการณ์ดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่สุด ซึ่ง "กูรู" ต่างแนะนำให้มีทองคำติดพอร์ตไว้ในยามนี้ 

ณัฐ ตรีพูนสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ทองคำปรับตัวขึ้นมาพร้อมกับสินทรัพย์ Safe Haven ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยน รวมถึงค่าเงินฟรังก์สวิส ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้จะเป็นแบบเทรดดิ้ง ในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ภาพการลงทุนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หากสหรัฐมีการเจรจากับจีนได้ เม็ดที่ไหลเข้าทองคำก็จะไหลกับเข้ามายังตลาดหุ้น เงินเยนก็จะอ่อนค่า รวมถึงค่าเงินฟรังก์สวิสเช่นกัน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีน ยุโรป ทั่วโลกก็จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้เร็ว แต่ทว่าภาพดังกล่าวอาจจะเกิดได้ค่อนข้างน้อย 

ขณะที่บิตคอยน์ แม้คนกังวลสงครามการค้าค่อนข้างเยอะ หากความกังวลนี้ยังอยู่สินทรัพย์ถัดไปที่จะสามารถแรลลี่ได้ ต่อจากทองคำก็จะเป็นบิตคอยน์ที่แทรกแซงได้ค่อนข้างยาก ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยตรง และหากเกิดสงครามการค้าจริง ธนาคารกลางทุกประเทศจำเป็นที่จะต้องพิมพ์เงินออกมา แน่นอนทองคำกับบิตคอยน์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างดี แต่ทว่าทองคำยังมีข้อจำกัดในการขนย้าย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน

"บิตคอยน์นักลงทุนอาจจะต้องใช้เทคนิคอลประกอบในการลงทุน หากคนไม่มีก็อาจจะแบ่งเงินเข้ามาสะสมได้ โดยให้ Stop-loss เมื่อหลุด 81,000 เหรียญฯ แต่ทว่าสามารถถือได้ยาวอาจจะ Stop-loss ที่ 75,000 เหรียญฯ ได้ ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2568 บิตคอยน์ -9% ขณะที่ทองคำบวก 26.8%"

ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศที่มีการเข้าไปเจรจาอย่างรวดเร็วก็จะได้รับผลกระทบน้อย ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและแรง เช่นเวียดนาม เป็นประเทศแรก ๆ ที่เข้าไปเจรจา ส่งผลให้หุ้นฟื้นตัวเร็วมากสามารถกลับมาอยู่ในได้ที่ 1,224 จุด จากจุดต่ำสุดลงไป 1,073 จุด นักลงทุนสามารถเข้าไปเทรดดิ้งได้ 

หรือหากต้องการลงทุนอย่างปลอดภัย ตลาดหุ้นสิงคโปร์ มีการส่งออกน้อย ดังนั้นสงครามการค้าที่จะเข้ามากระทบค่อนข้างจำกัด แต่อาจจะมีบางบริษัทที่เข้าไปลงทุนในเอเชียค่อนข้างเยอะ อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่โดยรวมตลาดหุ้นสิงคโปร์ Valuation อยู่ในระดับต่ำ และมีปันผลสูง

ในส่วนของน้ำมันยังคงมีมุมมองเชิงลบ ถึงแม้ระยะสั้นจะรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง แต่เป็นเพียงแค่รีบาวด์ทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากว่า หากอ้างอิงช่วงปี 1930 มีการทำสงครามการค้าเช่นกัน  ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงไป การค้าขายระหว่างประเทศลดลงไป 60-70% เศรษฐกิจโลกชะงัก ดังนั้นหากสงครามการค้ายังอยู่ก็อาจจะสะท้อนภาพเดิมกลับมา ทำให้น้ำมันยังคงเป็นไซด์เวย์ทูไซด์เวย์ดาวน์

วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้ข้อมูลต่อไปว่า ในส่วนของบิตคอยน์ขณะนี้ค่อนข้างเหงา เพราะบิตคอยน์มักจะวิ่งไปพร้อม ๆ กับดัชนี Nasdaq และเมื่อนักลงทุนเริ่มกลัวหรือเริ่มกังวลจึงส่งผลให้บิตคอยน์ยังไม่ฟื้นในระยะสั้นอาจจะฟื้นได้ยาก แม้ในระยะสั้น ๆ อาจจะมีรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง เพราะฉะนั้นหากนักลงทุนที่สนใจบิตคอยน์ และมีพอร์ตหุ้นด้วย แนะนำให้ดูดัชนี Nasdaq เป็นหลัก แต่ทว่ามาตรการของทรัมป์ที่ออกมาหนุนบิตคอยน์ก็น่าจะช่วยได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 แต่ในช่วง 3-6 เดือนนี้ต้องรอให้หุ้นฟื้นตัวก่อนและบิตคอยน์จะตามมา

ส่วนทองคำ ณ ปัจจุบันควรมี 5-10% ในพอร์ต ราคาทองคำอยู่ที่ระดับ 3,200 -3,400 เหรียญฯ ระยะสั้นยังไม่แนะนำให้ไปไล่ซื้อ แต่มุมมอง Neutral หากมีการปรับตัวลงมาที่ 3,200 - 3,300 เหรียญฯ และทรงตัวยืนได้ และค่อยเข้าไปเก็บไปสะสม โดยตลาดมีมองไว้ที่ราคา 3,700 - 4,500 เหรียญฯ ซึ่งมองว่า ปีที่ผ่านมามีสงครามค่อนข้างเยอะ แต่ในปีนี้เป็นสงครามการค้า โดยหลักการในระยะสั้นที่ราคาปรับขึ้นมา มาจากความกลัวที่ว่า ดอลลาร์จะเสื่อมค่า เนื่องจากสหรัฐอาจจะก่อหนี้เพิ่ม เพราะฉะนั้นเมื่อเรามองทองคำเป็น  Safe Haven กับตราสารหนี้โลก นักลงทุนอาจเลือกเข้าไปลงทุนตราสารหนี้โลกเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในอีกทางเลือกหนึ่ง 

ขณะที่น้ำมัน ดาวน์ไซด์เริ่มจำกัด แม้ภาพระยะสั้นอาจจะดูดีขึ้น แต่ในระยะะยาวอาจจะยังไม่ได้ดีมาก และมองว่า ยังไม่ใครที่อยากจะลงทุนเพิ่ม หรือชะลอการลงทุนไป ดังนั้นปริมาณการบริโภคน้ำมันโอกาสที่กลับไปเหมือน 2 ปีก่อนหน้า ค่อนข้างยาก และถ้าสังเกตจะเห็นว่า ราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลงมาทิ้งลงมาหนักในช่วงมีการประกาศ Tariff เพราะหลายคนยังกลัวเรื่องของการหยุดท่าเรือที่จีนเน้นส่งออก ก็จะทำให้ดีมานด์น้ำมันลดลงไปอีก 

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการลงทุนโมเมนตัมของตลาดหุ้นเริ่มลดความผันผวนลง แต่เป็นแค่เพียงชั่วคราวหลังจากที่ทรัมป์มีการยืดระยะเวลาออกไป 90 วัน ยกเว้นจีน โดยเศรษฐกิจในปีนี้สหรัฐจีดีพีเหลือต่ำกว่า 1% จากปีที่แล้วโต 2.4% ขณะที่อัตราการว่างงานปีนี้จะมีการว่างงานที่ 4.5% ส่วนธนาคารกลางสหรัฐคาดว่าปีนี้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง แต่ทว่าอาจจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง 2568 

ภาพรวมการลงุทนประเมินว่า ยังคงมีความผันผวนอยู่ ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐมีความน่าสนใจหลังจาก ดัชนี S&P 500 หรือ ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงมาใกล้โซน 20% ตลาดเริ่มมีการรีบาวด์ ดังน้ันเราจึงใช้กลยุทธ์ Barbell เน้นลงทุนระมัดระวังในกลุ่ม Defensive ในเชิงรับเช่น ทองคำในปีนี้ตั้งแต่ต้นปีบวกไปกว่า 25% ขณะที่ MSCI Infra บวกไปกว่า 10% แม้ว่าราคาจะแพงไปแล้ว แต่เราเชื่อว่าภาษีตอบโต้ไม่ใช้จุดสุดท้ายของกำแพงภาษี เพราะจะมีภาษีเฉพาะกลุ่มของสินค้าต่าง ๆ อุตสาหกรรม รวมถึงสินค้าที่มีต้องทางจากจีนและมาผ่านประเทศต่าง ๆ ทำให้นโยบายภาษีมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะฉะน้ันกลุ่มดังกล่าวแม้จะแพงแต่ควรมีติดพอร์ตไว้

ขณะที่กลุ่มเชิงรุก แม้ ดัชนี S&P500 ปรับฐานลงมา 15% ซึ่งเราประเมินว่า เป็นจุดที่น่าสนใจ แม้ดาวน์ไซด์จะยังมีอยู่แต่คาดว่า ไม่น่าจะลึกลงไปกว่านี้ ดังนั้นสามารถทยอยซื้อเก็บสะสมได้ เน้นการลงทุนระยะยาว 
 
นอกจากนี้หุ้นอินเดีย ระยะสั้นจะยังเข้าไปลงทุนได้ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก เนื่องจากการส่งออกของอินเดียเมื่อเทียบกับจีดีพีไม่สูง ขณะเดียวกันอินเดียเป็นประเทศแรก ๆ ที่เข้าไปเจรจากับสหรับก่อนจะเกิดภาษีตอบโต้ และล่าสุดอินเดียมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงมีความน่าสนใจ 

"แนะนำกระจายการลงทุน ด้วยเหตุการณ์นี้เราได้มีการ Downgrade สหรัฐลงมา จึงแนะนำถือหุ้นโลกเป็น Core Port โดยหุ้นโลกต้องเป็นหุ้นมีคุณภาพ มีการเติบโต และมีกระแสเงินสด ขณะที่ Defensive ในทองคำ และMSCI Infra นอกจากนี้ด้วยสภาวะที่ตลาดย่อลงมาลึกเช่นนี้ เราแนะนำทยอยเก็บหุ้นสหรัฐ เพียง 10-20%"

เปิด 12 สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 68 ทองคำพุ่งนำ 25%