ตลาดหุ้นไทยเช้านี้เปิดบวก 1.41 จุด รอความคืบหน้าเจรจาการค้า กรอบ 1120-1150 จุด

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 18 เม.ย.2568 เวลา 10.00 น. เปิดบวก 1,142.81 จุด บวก 1.41 จุด หรือบวก 0.12% นักวิเคราะห์เผย ลุ้นฟื้นตัวในกรอบ 1120-1150 จุด รอคอยความคืบหน้าในการเจรจาการค้าทั่วโลก คาดกระตุ้นจิตวิทยาบวกมากขึ้น กลยุทธ์ยังแนะสะสมหุ้นที่มีพัฒนาการเชิงบวก วันนี้แนะทยอยสะสม MONO
ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 18 เม.ย.2568 เวลา 10.00 น. เปิดบวก 1,142.81 จุด บวก 1.41 จุด หรือบวก 0.12% มูลค่าการซื้อขาย 1,741.03 ล้านบาท
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็นการปรับลดครั้งที่ 7 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ล่าสุด อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก, เงินกู้ และรีไฟแนนซ์ ลดลงสู่ระดับ 2.25%, 2.65%, 2.4% ตามลำดับ โดยการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้มีสาเหตุจากแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ที่ขยายตัวเพียง 0.2% ต่ำกว่าคาด ผสานแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่คาดกระทบต่อภาคการส่งออก การลงทุนในยุโรป ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนเดือนมีนาคม อยู่ที่ระดับ 2.2% ใกล้เคียงเป้าหมายของ ECB ที่ 2.0%
ส่วนด้านตลาดน้ำมันโลกฟื้นต่อเนื่อง โดยวานนี้เพิ่มขึ้นราว 3% ขานรับความคาดหวังการเจรจาการค้าโลก รวมทั้งยังได้แรงหนุนบวกจากการที่สหรัฐฯออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน เป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำ
ส่วนสถานการณ์การค้าโลก กำลังเข้าสู่การทยอยเจรจากับประเทศอื่นๆทั่วโลก ซึ่งคาดจะสร้างจิตวิทยาบวกมากยิ่งขึ้น โดยความคืบหน้าล่าสุดของไทย พบว่าทางสหรัฐฯ ตอบรับการหารือกับทีมไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยไทยคาดหวังการเจรจานำไปสู่ข้อตกลงแบบ Win-Win ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งเบื้องต้นคาดจะเป็นการลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ผ่านการนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าพลังงานมากขึ้น คาดช่วยหนุน SET ยังฟื้นตัวต่อ ในกรอบ 1120-1150 จุด
หุ้นแนะนำวันนี้ MONO คาดปีนี้พลิกมาทำกำไรที่ระดับ 191 ล้านบาท และมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในปีหน้าสู่ระดับ 436 ล้านบาท จากการเริ่มรับส่วนแบ่งรายได้การให้บริการถ่ายทอดลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และเอฟเอคัพ ประเมินราคาเหมาะสมแบบอนุรักษ์นิยม โดยใช้ PE26E ที่ระดับ 11.5 เท่า ได้ราคาพื้นฐานที่ 1.45 บาทต่อหุ้น
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า ตัวเลขสหรัฐฯ ที่รายงานประกอบไปด้วยผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.15 แสนรายดีกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 2.25 แสนราย รวมไปถึงยอดสร้างบ้านใหม่ที่ 1.3 ล้านหลังคาเรือนแต่ต่ำกว่าคาดที่ 1.42 ล้านหลังคาเรือน โดยใบขออนุญาตก่อสร้างอยู่ที่ 1.48 ล้านใบอนุญาตดีกว่าคาดที่ 1.45 ล้านหลังคาเรือน
แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยสงครามการค้ายังคงกดดันบรรยากาศการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นยังเคลื่อนไหวอย่างจำกัด สอดคล้องกับตลาดพันธบัตรที่ Bond Yield ทรงตัว แต่ค่าเงิน Doller สหรัฐฯ นั้นอ่อนค่าต่อเนื่อง สะท้อนถึงนักลงทุนยังไม่มั่นใจกับสหรัฐฯ
ด้านราคาทองคำนั้นระหว่างวันมีการปรับฐานลงบ้าง แต่ก็กลับมาพื้นตัวได้สะท้อนถึงความกังวลยังคงอยู่ ส่วนหนึ่งนักลงทุนอาจไปมั่นใจกับรัฐบาลสหรัฐฯ กับธนาคารกลาง หลัง Trump ออกมาระบุว่า Jerome Powell ควรถูกปลดได้แล้ว แม้กระทั่ง ECB ยังปรับลดดอกเบี้ย
ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ก็ปรับลงตามราคาน้ำมัน แต่ FED นั้นกลับทำแต่รายงานที่ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ สำหรับสงครามการค้า ล่าสุด Trump ออกมาให้ข้อมูลว่าไม่ต้องการขึ้นภาษีจีน เพราะอาจทำให้การค้าระหว่างประเทศหยุดชะงักและยืนกรานว่า ปักกิ่งได้ติดต่อเข้ามาเจรจาหลายครั้งแล้ว แต่อย่างไรก็ตามในช่วงปี 18-19 Trump ก็ปักพูดเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยังคงดำเนินสงครามการค้าต่อไป
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาระบุถึงผลกระทบจากสงครามการค้ากับประเทศไทยได้ใจความว่า คาดการณ์ส่งออกจะเป็นช่องทางหลักที่รับผลคระทบจาก Tariff แต่ระยะสั้นช่วงไตรมาส 2/68 จะเห็นการเร่งส่งออกก่อนภาษีนำเข้าจะถูกปรับขึ้น ผลกระทบจึงน่าจะไปเห็นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ปัจจุบันส่งออกไปสหรัฐฯ เทียบเก่ากับ 22% GDP และ 18% ของส่งออกไทย
ทั้งนี้ Sector หลักๆ ที่ประเมินรับผลกระทบได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูป และอาจรวมไปถึงสินค้าที่ไทยอยู่ใน Supply Chain เช่น ยาง เหล็ก เคมีภัณฑ์ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. เชื่อว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง และอาจมีผลต่อการท่องเที่ยวจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะปรับลดลงแต่จะเป็นผลดีกับเงินเฟ้อ โดยรวมแล้วมองเป็นลบกับหุ้นในกลุ่ม Elec:ronics เช่น DELTA HANA แต่มองอีกนัยยะหนึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ส่วนปัจจัยอื่นๆวานนี้ BBL รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 สูงกว่าคาดหมายไว้ที่ 7% สาเหตุเพราะกำไรสุทธิจากเงินลงทุนสูงกว่าคาด แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอ่อนแอและสำรองหนี้สูงขึ้นก็ตาม วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1130 - 1150 จุด
ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นย้ำเลือกเฉพาะตัวในหุ้นที่แข็งแกร่งทางธุรกิจและเป็นผู้นำอุตสาห์กรรม อาทิ ค้าปลีก BJC CRC CPALL ศูนย์การค้า CPN ธนาคารพาณิชย์ BBL KBANK KTB การเงิน MTC SAWAD อาหาร CPF โรงพยาบาล BDMS