โบรกคาด SCC ลุ้นพลิกกำไร -มีอัพไซด์ต่อ ‘ภาษีทรัมป์’ ไม่สะเทือน

โบรกคาด SCC ลุ้นพลิกกำไร -มีอัพไซด์ต่อ ‘ภาษีทรัมป์’ ไม่สะเทือน

วานนี้ (16 เม.ย.) ราคาหุ้น SCC พุ่ง 5.23% สะท้อนความหวังงบไตรมาส 1/68 พลิก “กำไร” จากขาดทุน “บล.กสิกรไทย” คาดบวกที่ 700 ล้านบาท “บล.เอเซีย พลัส” ย้ำกำแพงภาษีสหรัฐมีผลไม่มาก

ความเคลื่อนไหว ราคาหุ้น บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC วานนี้ (16 เม.ย.2568) ปิดตลาดพุ่ง 5.23% ที่ 151 บาท โดยระหว่างวันราคาสูงสุด 151.50 บาท และต่ำสุด 143.50 บาท สะท้อนถึงความคาดหวังนักลงทุน เกี่ยวกับผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 ต่างคาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไร

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า หุ้น SCC รับแรงหนุนจากภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์จะสร้างประโยชน์หลัก 2 ประการให้กับธุรกิจปิโตรเคมี ได้แก่ 1.ประหยัดต้นทุนวัตถุติบจากราคาแนฟทาลด และ 2.อัปไซด์อาจเกิดขึ้นต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จากผลกระทบการเร่งเติมสต็อก ทั้งนี้ โดยอิงจากราคาแนฟทาที่อาจลดลง 100 ดอลลาร์ต่อดัน ประเมินผลประโยชน์การประหยัดต้นทุนอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 3,400 ล้านบาทต่อปี

โบรกคาด SCC ลุ้นพลิกกำไร -มีอัพไซด์ต่อ ‘ภาษีทรัมป์’ ไม่สะเทือน

ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากการเร่งเติมสต็อกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการระงับการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน อาจผลักดันให้ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีภัณฑ์ปรับดีขึ้นในระยะสั้น แต่ประโยชน์เหล่านี้น่าจะถูกหักล้างส่วนใหญ่ด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโครงการ Longson Petrochemical (LSP) ที่ 4,000 ล้านบาท (YOY) ดังนั้น กำไรธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCC คาดจะยังคงทรงตัว (YOY) และยังคงอยู่ในแดนลบในปี 2568 รวมถึงประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ในประเทศ จากการปรับลลส่วนลดการขายปูนซีเมนต์ในไทยลง 400 บาทต่อตัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นมา คาดผลประโยชน์จะอยู่ที่ราว 3,600 ล้านบาทในปี 2568 โดยผลประโยชน์ที่อาจได้รับดังกล่าวจะชดเชยผลกระทบจากภาษีศุลกากรของทรัมปีที่มีต่อการส่งออกปูนซีเมนต์ไปยังสหรัฐฯ ที่ 1,700 ล้านบาทต่อปีได้ทั้งหมด

ทางกลับกันจากการหารือกับผู้บริหาร เราพบว่าผลประโยชน์จากกิจกรรมการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวมีอยู่อย่างจำกัด โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุตกแต่งบ้าน และโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ คาดว่าจะล่าช้าออกไป

ดังนั้น คาดกำไรไตรมาส 1 ปี 2568 จะอยู่ที่ 700 ล้านบาท หรือพลิกเป็นบวกจากขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2567 ลดลง 71% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งกำไรปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จาก 1.ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ซึ่งปรับตัวดีขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล และ 2.ค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างการเงินของ SCGC ที่ลดลง 

อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 2 ปี 2568 มีอัปไซด์คาดกำไรจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้รับประโยชน์เต็มไตรมาสจากการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ในประเทศ และประหยัดต้นทุนวัตถุดิบตามราคาน้ำมันลดลง การรับรู้รายใต้จากเงินปันผล รวมถึงส่วนแบ่งกำไรที่สูงเป็นพิเศษจาก Chandra Asri (CAP) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ SCC ถือหุ้นอยู่ 30% ทั้งนี้ ผู้บริหาร CAP กล่าวในการประชุมนักวิเคราะห์ว่าบริษัทจะรับรู้กำไรพิเศษก้อนใหญ่จากการซื้อโรงกลั่นปิโตรเคมีภัณฑ์ในสิงคโปร์ ดังนั้น แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 155 บาท คาดราคาหุ้นจะมีโมเมนต้มเชิงบวกระยะสั้น โดยยังไม่รวมอัปไซด์จากกำไรพิเศษเข้าไว้ในประมาณการดังกล่าว

นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานกลุ่มวัสดุก่อสร้าง บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า SCC ในภาวะวิกฤติยังมีความหวังคาดกำไรไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 931 ล้านบาท ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนขาดทุน 512 ล้านบาท ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจ Packaging กลับมากำไรได้อีกครั้ง เหลือเพียงธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังขาดทุน จาก Spread ที่อยู่ระดับต่ำ และ Fix Cost จากโรงงาน LSP

อีกปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกถูกกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐ ส่งผลต่อเนื่องถึงความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่กำลังเผชิญกาวะอุปทานล้นตลาด รวมถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนหลายเรื่องแต่ราคาน้ำมันที่ลดลงกลายเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อ Naphtha Cracker ของ SCCในช่วงระหว่างรอการUpgrade โรงงาน LSP ในเวียดนามให้สามารถใช้ Ethane เป็น Feedstock ได้

นอกจากนี้ การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ SCC ไม่มาก เพราะ SCC มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐเพียง 1% สินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งไปสหรัฐเป็นสินค้าที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจงจากลูกค้าเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามทิศทางธุรกิจช่วงสั้นยังเผชิญหลายปัจจัยลบโดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในช่วงวัฏจักรขาลง แต่ยังมีประเด็นบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงขณะที่การปรับตัวหลายเรื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของ SCC แม้ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล แต่จะทำให้มีความแข็งแรงขึ้นในระยะยาวแนะให้น้ำหนักลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสม 210 บาท