ดาวโจนส์ดิ่งลง 1,000 จุด หลังพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ดาวโจนส์ดิ่งลง 1,000 จุด หลังพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 1,000 จุดในวันพฤหัสบดี ฉุดหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธร่วงลงบางส่วน นักลงทุนยังกังวลความไม่แน่นอน การขึ้นภาษีจีนสูง 145%

บลูมเบิร์ก/ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันพฤหัสบดี (10 เม.ย.68) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาไทยว่า หุ้นร่วงลงเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากการพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธซึ่งได้รับแรงหนุนจากการกลับลำนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยได้ประกาศผ่อนผันภาษีบางส่วนเป็นเวลา 90 วัน 

นักลงทุนยังกังวลว่าแม้จะมีการพักการเรียกเก็บภาษีบางส่วน แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเนื่องจากทรัมป์ใช้อัตราที่สูงมากสำหรับสินค้าจากจีนประเทศเดียว

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,268.05 จุด ลดลง 3.46% ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ปิดที่ 16,387.31 จุด ลดลง 4.31% ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average

ปิดที่ 39,593.66 จุด ลดลง 1,014.79 จุด หรือ 2.5% หุ้นที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ Apple และ Tesla

ซึ่งปรับตัวลดลง 4.2% และ 7.3% ตามลำดับ Nvidia ปรับตัวลดลงเกือบ 6% ในขณะที่ Meta Platforms ปรับตัวลดลงเกือบ 7%

จีนถูกเก็บภาษีในอัตราสูงลิ่ว 145%

การร่วงลงดังกล่าวเร่งขึ้นหลังจากที่ทำเนียบขาวชี้แจงในวันพฤหัสบดีว่าอัตราภาษีศุลกากรรวมสำหรับจีนจะอยู่ที่ 145% ซึ่งประกอบด้วยภาษีศุลกากรสินค้าใหม่ 125% เพิ่มเติมจากอัตราภาษี 20% ที่เรียกเก็บเพื่อตอบสนองต่อวิกฤติยาเสพติดเฟนทานิล

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวในช่วงบ่ายว่าเขาไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะขยายระยะเวลาการชะลอภาษีศุลกากรออกไปอีก

“เราคงต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น” ทรัมป์กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรี

ต่อไปนี้คือ อัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน:

  • อัตราภาษี 145% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากจีน
  • อัตราภาษี 25% สำหรับอะลูมิเนียม รถยนต์ และสินค้าจากแคนาดา และเม็กซิโกที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา
  • อัตราภาษี 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าอื่นๆ ทั้งหมด

การเคลื่อนไหวของตลาดในวันพฤหัสบดีทำให้ลดทอนการพุ่งขึ้นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันพุธลงบางส่วน ซึ่งดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมากกว่า 9% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวสูงสุดเป็นอันดับสามนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ขณะที่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้นในวันเดียวสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2001 และเป็นวันที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์

“นักลงทุนเริ่มมีสติสัมปชัญญะมากขึ้น” เมลิสสา บราวน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยประยุกต์ของ SimCorp กล่าว “ความไม่แน่นอนเป็นปัญหาใหญ่ เพราะอัตรา 145% อาจเป็นตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงในวันพรุ่งนี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะบอกว่าเป็นระดับต่ำสุดหรือสูงสุด เนื่องจากเรื่องราว และการรับรู้ของนักลงทุนเปลี่ยนไปมาก” การฟื้นตัวขึ้นเริ่มขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ประกาศลดอัตราภาษีสำหรับประเทศส่วนใหญ่ลงชั่วคราวเป็น 10% เป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ตาม แคนาดา และเม็กซิโกจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 10% ด้านสหภาพยุโรปประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่าจะระงับการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐ เป็นเวลา 90 วันเช่นกัน

  • ความไม่แน่นอนยังสูง

แม้ว่าในช่วงแรกนักลงทุนจะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการผ่อนผัน 90 วัน แต่หลายคนในตลาดหุ้นคิดว่าตลาดยังไม่พ้นจากปัญหา แม้จะมีการเลื่อนการเรียกเก็บภาษีบางส่วนออกไป ตามรายงานของธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ระบุว่า แต่การขึ้นภาษีสินค้าจีนก็ทำให้อัตราภาษีโดยรวมของสหรัฐอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

“การเลื่อนออกไปช่วยได้ แต่ไม่ได้ลดความไม่แน่นอน” ไมเคิล กาเปนหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐ ของ Morgan Stanley เขียนไว้ในบันทึกเมื่อวันพฤหัสบดี

เพียงวันเดียวหลังจากที่ตลาดการเงินตอบรับในทางบวกกับการตัดสินใจของทรัมป์ในการเลื่อนแผนภาษีบางส่วนของเขา การเทขายในส่วนที่มีความเสี่ยงของตลาดบ่งชี้ถึงความสงสัยที่เพิ่มขึ้นว่าการเจรจาการค้าจะเสร็จสิ้นในเวลาที่เหมาะสมหรือไม่  แม้ว่าผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติทำเนียบขาว เควิน ฮัสเซ็ตต์ จะกล่าวว่าสหรัฐ มีความก้าวหน้าไปมากในการหารือกับพันธมิตรทางเศรษฐกิจ

  • บริษัททั่วโลกหยุดคำสั่งซื้อสินค้า

สัญญาณแรกของการชะลอตัวของการค้าโลกเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เนื่องจากบริษัทต่างๆ ทั่วโลกต่างกดปุ่มหยุดคำสั่งซื้อของตนเอง และทรัมป์ยังคงยกระดับสงครามการค้ากับจีน หากจะว่ากันจริงแล้ว ทรัมป์กำลังขยายความไม่แน่นอนซึ่งเริ่มลากความเชื่อมั่นของธุรกิจ และผู้บริโภคลงไปแล้ว

“เรายังคงเชื่อว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรยังคงมีอยู่ ความผันผวนเกิดขึ้นในทั้งสองทิศทาง คือ ขึ้นและลง เส้นทางข้างหน้าอาจรวมถึงการแกว่งตัวของตลาดมากขึ้น เนื่องจากเราไม่มีข้อสรุป ในความเป็นจริง เรามีสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งน่าจะเป็นการขยายกระบวนการเจรจาภาษีศุลกากร” นาธาน ธูฟท์ จากบริษัทจัดการ การลงทุนแมนูไลฟ์ กล่าว 

ด้านราคาหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐ ร่วงลง หลังมีรายงานว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาผลักดันให้ถอดหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ ออกจากการจดทะเบียน โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ หุ้นของบริษัทผลิตเหล็ก United States Steel Corp ร่วงลง หลังทรัมป์ย้ำจุดยืนเดิมของเขาว่าเขาไม่ต้องการเห็นบริษัทเหล็กแห่งนี้ถูกบริษัทญี่ปุ่นซื้อกิจการ

ภาษีศุลกากรที่พุ่งสูงของสหรัฐ ต่อจีนได้จุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าตอบโต้กันซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก

“จุดยืนของรัฐบาลทรัมป์ได้เปลี่ยนจากการทำสงครามการค้ากับทุกคนไปสู่การทำสงครามการค้ากับจีนแบบเข้มข้น” นิโกลาส์ อูดิน จากบริษัทวิจัย Gavekal Research กล่าว “นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าจีนทำร้ายตัวเองด้วยการตอบโต้ มุมมองจากปักกิ่งนั้นแตกต่างออกไป หลายคนในจีนมองว่าการที่ทรัมป์ชะลอภาษีให้หลายประเทศนั้นเป็นสัญญาณของความอ่อนแอของสหรัฐ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการรับรองการตัดสินใจของจีนที่จะยกระดับสงครามการค้า”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์