‘บล.ภัทร’ เสียแชมป์เบอร์ 1 ‘มาร์เก็ตแชร์’ ลด หลังเข้มชอร์ตเซลชั่วคราว

‘บล.ภัทร’ เสียแชมป์เบอร์ 1 ‘มาร์เก็ตแชร์’ ลด หลังเข้มชอร์ตเซลชั่วคราว

‘บล.ภัทร’ เสียแชมป์เบอร์ 1 ‘มาร์เก็ตแชร์’ ลดมาอยู่อันดับ 3 ที่ 10.84%  หลังเข้มชอร์ตเซลชั่วคราว ขณะที่ บล.เคจีไอ ขยับขึ้นแท่นเบอร์ 1 แทน

หลังการประกาศใช้นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ หรือ Reciprocal tariff ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก จนมีการปรับตัวลดลงอย่างมาก ดังนั้น เพื่อให้มีมาตรการรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงได้มีการปรับปรุงเกณฑ์ออกมาตรการชั่วคราว ห้ามขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว มีผลเมื่อ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา และไม่เกินวันที่ 11 เม.ย. 2568

‘บล.ภัทร’ เสียแชมป์เบอร์ 1 ‘มาร์เก็ตแชร์’ ลด หลังเข้มชอร์ตเซลชั่วคราว

ทั้งนี้ พบว่า บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งเคยมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ร่วงหล่นหายไปอย่างเห็นได้ชัด สืบเนื่องจากผลกระทบมาตรการชั่วคราวดังกล่าว

“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการห้ามชอร์ตเซล ยกเว้นคนที่เป็น Market Maker เฉพาะโบรกเกอร์ที่มีผลิตภัณฑ์ DW หรือ Derivative Warrants ซึ่งอาจจะมีการใช้ชอร์ตเพื่อบริหารความเสี่ยงในการออก ผลิตภัณฑ์ Put DW หรือ สิทธิในการขายหุ้นอ้างอิงในอนาคต ในราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา เราจะเห็นว่า มาร์เก็ตแชร์มีการเปลี่ยนแปลง โดย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีการขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อนหน้าอยู่เป็นอันดับ 1

ทั้งนี้ ถือว่ามีผลกระทบต่อ บล.เกียรตินาคินภัทร เพราะหากดูข้อมูลย้อนหลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีมาร์เก็ตแชร์ 3 อันดับแรก จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้มาร์เก็ตแชร์ที่มาจากขนาดการอนุญาตให้นักลงทุนต่างประเทศมาทำการซื้อขายผ่านระบบเชื่อมต่อที่เรียกว่า Direct Market Access หรือ DMA ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เชื่อมต่อ DMA สามารถใช้โปรแกรมการซื้อขายโดยรับส่วนต่างไม่ได้เยอะ แต่ทว่าจะได้ในส่วนของความรวดเร็วและขนาดออเดอร์

เมื่อตลาดห้ามทำการชอร์ตเซล สำหรับคนที่ไม่ใช่ Market Maker ในนักลงทุนที่เป็น Investor สถาบันต่างประเทศก็จะไม่สามารถใช้ระบบดังกล่าวได้ จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณการซื้อขายที่หายไปของบล. เกียรตินาคินภัทร

ทว่า บล.เคจีไอ อาจจะได้รับผลกระทบไม่ได้เยอะมาก เนื่องจาก บล.เคจีไอ มีผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน Derivative Warrants ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งในส่วนนี้จะมีการทำธุรกรรมผ่านทางด้าน Call DW หรือ สิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิงในอนาคต ในราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา และ Put DW หรือ สิทธิในการขายหุ้นอ้างอิงในอนาคต ในราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งถือว่าอยู่ในบทบาทของ Market Maker ในด้านของ DW ฉะนั้น ก็จะสามารถซื้อหรือขายได้ตามปกติ

ขณะเดียวกันบนภาวะที่มีความผันผวนค่อนข้างมากก็จะทำให้นักลงทุนช่วงที่ผ่านมา มีการพยายามหาจังหวะในการชอร์ตบ้าง หรือไม่อาจจะมีการหาวิธีโดยการไปซื้อ Put DW ของหุ้นใดหุ้นหนึ่ง ในช่วงจังหวะที่ตลาดปรับตัวลงมาแรง ทำให้ Put DW ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในไม่กี่วันทำการที่ผ่านมา ทำให้ส่งผลต่อปริมาณการซื้อขายของ บล.เคจีไอ ที่มีสูงขึ่้นและมีมาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่วันมานี้ ก่อนหน้านี้มาร์เก็ตแชร์ บล.เคจีไอ อยู่ราว 7-8% ล่าสุดปรับขึ้นมาที่ 11-12%

“ในช่วงเวลา 4-5 วันทำการที่ผ่านมานี้ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่มาจากคำสั่งห้ามชอร์ตของตลาด สำหรับคนที่ไม่ใช่เป็น Market Maker ขณะที่ Market Maker ในผลิตภัณฑ์ DW ได้อานิสงส์จากการเก็งกำไร ดังนั้น ทำให้ บล.เคจีไอเพิ่มขึ้นมาแทนที่บล.เกียรตินาคินภัทร”

ล่าสุด พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เปิดเผยว่า มาตรการเพื่อรองรับความผันผวนตลาดหุ้นชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะถูกยกเลิกเมื่อกลับมาเปิดเทรดในช่วงหลังหยุดยาวช่วงสงกรานต์ หรือ 16 เม.ย. 2568

“ตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะลงมามากเช่นเดียวกับตลาดทั่วโลกที่ตอบรับมาตรการภาษีตอบโต้การของสหรัฐ แต่ตลาดไทยเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา เกือบจะเป็นประเทศแรกๆ ในภูมิภาคนี้ที่ SET กลับมาเป็นบวก ขณะที่ทุกประเทศยังเป็นลบ แปลว่าเราเตรียมการมาดี”