2 ดัชนีโลก ‘Nasdaq-S&P500’ ปิดไตรมาส ทำผลงานแย่สุดในรอบ 3 ปี

2 ดัชนีโลก ‘Nasdaq-S&P500’ ปิดไตรมาส ทำผลงานแย่สุดในรอบ 3 ปี

2 ดัชนีโลก ‘Nasdaq-S&P 500’ ปิดไตรมาส ทำผลงานแย่สุดในรอบ 3 ปี ตลาดกังวลฟองสบู่ AI และ ภาษีทรัมป์ ส่วนหุ้นยุโรป-จีน พุ่งสวนทางสหรัฐ

สำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์รายงานว่า ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐ 2 ใน 3 ตัว ได้แก่ ดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 10.4% และ S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 4.5% ซึ่งเป็นการปิดไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี  ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average ปิดตลาดด้วยการลดลง 1.3%

ดัชนีทั้ง 3 ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่วันก่อนที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ที่ครอบคลุมหลายภาคส่วน ซึ่งเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับนโยบายการค้าโลกที่นักลงทุนต้องเผชิญมานานหลายเดือน

กังวลฟองสบู่ AI-ภาษีทรัมป์

ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 10% จากจุดสูงสุดล่าสุด ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่เรียกว่า "การปรับฐาน" แม้ว่าวานนี้(31มี.ค.)ดัชนีสามารถฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงท้ายตลาด  

2 ดัชนีโลก ‘Nasdaq-S&P500’ ปิดไตรมาส ทำผลงานแย่สุดในรอบ 3 ปี

ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100  รายงานไตรมาสที่แย่ที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี โดยลดลง 8.3% เนื่องมาจากความกลัวว่าจะเกิดฟองสบู่ในด้านปัญญาประดิษฐ์ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและภาวะเศรษฐกิจถดถอย

 

หุ้นกลุ่ม "7 นางฟ้า”  ซึ่งได้แก่ Amazon, Apple, Microsoft, Alphabet, Nvidia, Tesla และ Meta สูญเสียมูลค่าตลาดรวมกันมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งราคาหุ้นก็ปรับตัวลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุด

นอกจากนี้ หุ้นที่เคยเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด กำลังเผชิญกับความเสียหายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Nvidia Corp. ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ หุ้นร่วงลง 28% จากจุดสูงสุดในเดือนม.ค.68 ขณะที่ Broadcom Inc. ลดลง 33% จากจุดสูงสุดในเดือนธ.ค.67 

หุ้นยุโรป-จีน พุ่งสวนทางสหรัฐ 

ดัชนี Euro Stoxx 600 ซึ่งติดตามบริษัทใน 17 ประเทศ ปรับตัวขึ้น 5% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐลดลงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ข้อมูลจาก FactSet เผยว่า Stoxx 600 เพิ่งมีไตรมาสที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ S&P นับตั้งแต่ปี 2558

นอกจากนี้ ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนดัชนี MSCI China ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงหุ้นจีน 580 ตัว ปิดไตรมาสแรกด้วยการเพิ่มขึ้นถึง 16%