'ต่างชาติ' ลดน้ำหนัก SCC กังวล ศก.อินโดฯ ชะลอ - สเปรดปิโตรเคมีกดดัน

หุ้นกลุ่มเอสซีซี กอดคอดิ่ง นำโดย “เอสซีจีพี” ร่วง 7.95% ขณะที่ หุ้น “เอสซีซี” ร่วง 4.88% สารพัดปัจจัยกดดัน โบรกเกอร์แนะ “ถือ” เพื่อรอสัญญาณฟื้นชัด ไตรมาส 2 ปี 68 ยังมีดาวน์ไซด์
วานนี้ (25 มี.ค.2568) ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น ปูนซีเมนต์ไทย หรือ SCC ร่วง 4.88% มาที่ 156 บาท ลดลง 8 บาท ระหว่างวันราคาสูงสุด 164.50 บาท ต่ำสุด 155.50 บาท หุ้น เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ร่วง 7.95% มาที่ 13.90 บาท ลดลง 1.20 บาท ระหว่างวันราคาสูงสุด 15 บาท ต่ำสุด 13.80 บาท
จากสารพัดปัจจัยลบกดดัน เริ่มจาก SCGP รับผลกระทบเศรษฐกิจอินโดนีเซียชะลอตัว หวั่นธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย (Fajar) อาจจะไม่สามารถถึงจดคุ้มทุนได้ในปีนี้ตามแผนวางไว้ แม้ราคาหุ้นจะลงมาอยู่ในระดับต่ำแล้ว แต่รอธุรกิจฟื้นค่อยเข้าลงทุนก็ได้หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้น้อย ทำให้ SCC มีเซนทิเมนต์เชิงลบไปด้วย
พร้อมทั้งมีปัจจัยจาก “โกลด์แมน แซคส์” ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้น SCC จาก “ ซื้อ” เป็น “Neutral” (เป็นกลาง) ปรับลดราคาเป้าหมาย ลงเหลือ 160 จากเดิม 210 บาท และ Spead ราคาปิโตรเคมีปรับลงจากราคาน้ำมันขึ้น กดดันต้นทุน
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น SCC และ SCGP ปรับตัวลงค่อนข้างมาก วานนี้ คาดว่าจะเป็นผลจากที่ “โกลด์แมน แซคส์” ได้ Downgrade หุ้น SCC
ส่วน SCGP ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SCC ได้รับ Sentiment ลบไปด้วย อีกทั้งยังเผชิญกับแรงกดดันเศรษฐกิจประเทศอินโดนีเซียที่ชะลอตัว ทำให้วิตกกังวลธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียอาจจะไม่สามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ในปีนี้ตามแผนวางไว้ ซึ่งแผนมีโอกาสล่าช้าได้จากผลกระทบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ผู้บริหารได้มีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนในการลดผลขาดทุนของ Fajar โดยในระยะสั้นบริษัทฯ จะมีการปรับลดจำนวน SKUs ของโรงงานของ Fajajar ลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และปรับโครงสร้างหนี้ของ Fajar ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระทางการเงินของ Fajar ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (คาดมีความชัดเจนมากขึ้นช่วงครึ่งแรกปี 2568) ขณะที่ ระยะกลาง-ยาว บริษัทจะเพิ่ม Integration Rate ของธุรกิจในอินโดนีเซียผ่านการทำ M&P เพิ่มเติม
“SCGP ปรับลงเพราะกังวลการชะลอตัวเศรษฐกิจอินโดนีเซีย จึงทำให้ SCC ปรับตัวลงตามไปด้วย มองราคาหุ้น SCGP ได้ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ก็แนะนำให้รอดูความชัดเจนก่อน เห็นการฟื้นตัวจริงค่อยเข้าลงทุน”
นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวว่าด้วยสเปรดราคาปิโตรเคมี ปรับลงจากราคาน้ำมันกดดันต้นทุน ทำให้หุ้น SCC อาจจะโดนขายทำกำไรลงมา หลังจากาคาหุ้น valuations ถูกเกินไป และคาดหวังมาตรการตุ้นจีนก่อนหน้านี้มองราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาแบบยังไปได้ไม่ไกลนัก
รวมถึงยังมีปัจจัยลบจาก “โกลด์แมนแซกส์” ได้ Downgrade หุ้น SCC จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” และ SCGP ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SCC เผชิญปัจจัยลบจากเรื่องเศรษฐกิจอินโดนีเซีย
ดังนั้น แนะกลยุทธ์ถือและ Wait & See รอดูสัญญาณชัดเจน เนื่องจากราคาปิโตรเคมีสเปรดปัจจุบัน SCC ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนแล้ว แต่อาจฟื้นไม่เร็ว มองยังมี Downside จากสงครามการค้า และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว น่าจะเห็นชัดในไตรมาส 2 นี้ ให้ราคาเป้าหมายปีนี้ SCC 170 บาท และ SCGP 22 บาท
นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า คงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ SCC ด้วยราคาเป้าหมาย 169 บาท เนื่องจากคาดธุรกิจปิโตรเคมีจะยังเป็นปัจจัยฉุดผลประกอบการอีกหลายปีข้างหน้า แม้ธุรกิจปูนซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นบ้างก็ตาม
โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากกำลังผลิตใหม่จากจีนยังคงเข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง มองเห็นกำลังผลิต PE และ PP จะเพิ่มขึ้นราว 9 ล้าน และ 6 ล้านตันต่อปีในปี 2568 เทียบกับอัตราการเติบโตของความต้องการที่ระดับปกติที่ 4-6 ล้านตันต่อปี
แต่อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ปูนซีเมนต์ในภูมิภาคฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งไตรมาส 4/2567 โดยไทยเติบโต 5% (YoY) เวียดนาม เติบโต 12% (YoY) และกัมพูชา 19% (YoY) สำหรับไทยการฟื้นตัวครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากการเติบโตมาจากทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ SCC จะเดินหน้ากลยุทธ์ลดภาระหนี้ต่อไป โดยหนี้สินสุทธิของบริษัทลดลงเหลือ 2.95 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 จาก 3.12 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ/กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงเหลือ 5.5 เท่าจาก 6.3 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน อันเป็นผลมาจากการลดเงินทุนหมุนเวียนลง 6.2 พันล้านบาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์