‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีเหล็ก - อะลูมิเนียม กดดัน ‘กลุ่มเหล็ก’ จับตาสินค้า ‘จีน’ ทะลักไทย

‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีเหล็ก - อะลูมิเนียม "กูรู" ชี้ การขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กในบ้านเราในมุมสินค้าจากจีนที่ไม่มีที่ไปอาจจะทะลักเข้ามาไทยสูงขึ้น
ระส่ำไปทั้งโลกทันที !! เมื่อประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศ “ปรับขึ้นภาษี” นำเข้า “เหล็ก และอะลูมิเนียม” 25% ในทุกประเทศ จากอัตราเดิมที่ระดับ 10% เริ่มเก็บ 12 มี.ค.68 ที่ผ่านมา โดยสหรัฐมีเป้าหมายต้องการจะช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็ก และอะลูมิเนียมของสหรัฐ ที่กำลังประสบปัญหา ซึ่งมาตรการดังกล่าวทำให้มี “ความเสี่ยง” เพิ่มมากขึ้น
“รศ.ดร.รัตพงษ์ สอนสุภาพ” รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในภาพใหญ่จะเห็นว่าประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐในอันดับที่ 12 ของโลก ซึ่งนโยบายทรัมป์ทั่วโลกจะได้รับกระทบทางการค้า แน่นอนว่า แม้สินค้าทั้ง 2 ส่วน “เหล็ก และอะลูมิเนียม” ที่เราได้เปรียบอยู่ แต่เมื่อนโยบายของทรัมป์ต้องการที่จะสร้างสมดุลภายในประเทศสหรัฐ แต่กลับมีผลกระทบต่อภายนอกประเทศสหรัฐรวมถึงไทยด้วย
ดังนั้น สิ่งแรกที่ไทยจะต้องมาปรับเป้าหมาย เพราะก่อนหน้าเรามักจะพึ่งพิงตลาดหลัก ๆ อย่างสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ภาครัฐ และผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัว อย่างไรก็ตาม ในระยะเริ่มต้องในหลายๆ ประเทศต้องประสบกับปัญหาดังกล่าวกันหมดรวมถึงไทยด้วย ดังนั้น สินค้า 2 ประเภทนี้ เหล็ก และอะลูมิเนียม เป็นแค่จุดเริ่มของมาตรการของทรัมป์ และยังต้องสแกนสินค้าอื่นๆ อีกมาก
ทั้งนี้ เหล็ก และอะลูมิเนียมเป็นอุตสาหกรรมหลักของโลก สำหรับประเทศที่พัฒนาถือเป็น “อุตสาหกรรมพื้นฐาน” ซึ่งประเทศที่พัฒนาไปกว่าเรามีพื้นฐานที่นอกเหนือจากปิโตรเคมี ดังนั้น หากผลิตได้มาก และมีคุณภาพจะเป็นพื้นฐานสำคัญใน “การต่อยอด” ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้าง หมู่บ้านจัดสรร และยานยนต์ ที่ต้องใช้เหล็กทั้งหมด ดังนั้น ซัพพลายเชนจึงมาก ซึ่งเป็นเรียลเซกเตอร์ใหญ่
ในแง่โอกาสของไทย และผู้ประกอบการต้องปรับตัวในภาวะที่เป็นเช่นนี้ ในช่วง 4 ปีหลังจากนี้ เพราะสิ่งที่ทรัมป์วางไว้ แต่ซัพพลายเชนที่มีอยู่อาจจะส่งผลกระทบ ทั้งนี้ปัญหาสภาพเศรษฐกิจของบ้านเราจีดีพีต่ำ คนมีรายได้น้อย อุตสาหกรรมที่จะไปหล่อเลี้ยงภาพเรียลเซกเตอร์ทั้งหลายเริ่มหดหายไป ดังนั้น ยิ่งเหล็ก และอะลูมิเนียมเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมที่เป็นเรียลเซกเตอร์ใหญ่ก็จะหายไปกับตรงนี้ ซึ่งประเมินเศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง 3% ส่วนตัวมองว่าอาจจะปรับตัวลงมาได้ เพราะยังคงมีความเสี่ยงจาก นโยบายของทรัมป์
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า หากพิจารณาสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐยังไม่ได้อยู่ในลิสต์ที่มีสัดส่วนที่สูง เนื่องจากบ้านเราไม่ใช่แหล่งผลิตเหล็ก ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามามากกว่าในการนำมาใช้ และหากดูตัวท็อปโปรดักต์ที่ไทยส่งออกไป อาจจะมีเหล็ก และอะลูมิเนียมจะอยู่ในอันดับที่ 11 ประมาณ 2%ของมูลค่าที่ส่งออกไปสหรัฐทั้งหมด จึงมองว่ายังไม่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัย
ขณะที่ในตลาดหุ้นไทยหุ้นกลุ่มเหล็กไม่ได้มีมาร์เก็ตแคปที่มาก และตลาดไม่ค่อยได้ให้น้ำหนักกับกลุ่มนี้มากนัก และกลุ่มนี้ค่อนข้างผันผวนจากคอมมูนิตี้ ซึ่งราคาขึ้นลงตามเหล็กโลก และหากเทียบการผลิตเหล็กในไทยต้นทุนยังไม่สามารถสู้ต่างประเทศได้ อย่างจีน จึงไม่ได้แนะนำหุ้นในกลุ่มนี้สักเท่าไร
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับการขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กในบ้านเราในมุมสินค้าจากจีนที่ไม่มีที่ไปอาจจะทะลักเข้ามาไทยสูงขึ้น ซึ่งมิติดังกล่าวจะกระทบกับผู้ประกอบการเหล็ก และเหล็กแปรรูปในบ้านเรา ขณะที่อุตสาหกรรมก่อสร้างในบ้านมองเป็น “บวก” มากกว่าจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่น่าจะอยู่ในระดับต่ำจากซัพพลายที่มาจากทางจีน
โดยปีนี้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างถือว่ามีความน่าสนใจ เพราะว่าปีนี้ปัจจัยลบหลายๆ อย่างรับรู้ไปหมดแล้ว อย่างค่าแรงขั้นต่ำ ด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้างน่าจะอยู่ในระดับที่สามารถปรับตัวลดลงมา และมิติ Valuation ต่ำกว่าในอดีตมากที่นานๆ จะเจอสักที และหากย้อนดูในอดีต 20 ปี กลุ่มรับเหมาก่อสร้างไม่เคยมีความน่าสนใจสักเท่าไร เพราะว่าบางครั้งหุ้นไปเทรดอยู่ที่พีอีที่สูงมากๆ และมีการประมูลงานในที่ค่อนข้างสูง แต่แท้จริงแล้วมาร์จินค่อนข้างต่ำ ฉะนั้น เมื่อดูมิติดังกล่าวรับเหมาก่อสร้างไม่เคยน่าสนใจ แต่วันนี้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มกลับมาอยู่ที่ Valuation มีความสาเหตุสมผลมากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์