SCC เร่งภาระกิจด่วนลด ต้นทุน-ตัดขายธุรกิจ พร้อมกางแผนโตระยะยาว

SCC เร่งภาระกิจด่วนลด ต้นทุน-ตัดขายธุรกิจ พร้อมกางแผนโตระยะยาว

“ปูนซีเมนต์ไทย” ย้ำแผนเร่งด่วน มุ่งเดินหน้ารักษา "กระแสเงินสด-ลดต้นทุน-ตัดขายธุรกิจที่ไม่จำเป็น" พร้อมกางแผนธุรกิจระยะสั้น-ยาว

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า สำหรับกลยุทธ์ปี 2568 บริษัทวางแผนเร่งด่วน รักษาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow) และต้นทุนให้อยู่ในสถานะแข็งแกร่ง พร้อมลดเงินทุนหมุนเวียนต่อเนื่อง

รวมทั้งพิจารณาตัดขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออก ซึ่งการลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ทำให้การบริหารกระแสเงินสด ในขณะที่ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) บริษัทคาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลง

“ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 3-5% จากปีก่อน และมุ่งเน้น EBITDA ให้มากกว่า 54,000 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้ยังเป็นปีแห่งความผันผวน เพราะมีนโยบายกีดกันการค้าของทรัมป์ที่จะกระทบการค้าทั่วโลก แต่ที่เห็นชัดราคาน้ำมันปีนี้น่าจะลดลง ราคาน้ำมันลงทำให้ต้นทุนปิโตรเคมีลดลง เป็นปัจจัยบวก ขณะเดียวกันบริษัทปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ ดังนั้น เชื่อมั่นปี 2568 สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง” 

ทางด้านงบลงทุน (CAPEX) ปีนี้ที่ลดลงเหลือ 30,000-35,000 ล้านบาท จากปีก่อน ที่ใช้งบลงทุน 55,305 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นการลงทุนในโครงการลองเชิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochenicals-LSP) 6,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ จะกระจายงบลงทุนในทุกธุรกิจ 

สำหรับ ทิศทางธุรกิจระยะสั้น แม้ว่ายังต้องเผชิญกับอีกหลายปัจจัยลบ โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่อยู่ในช่วงวัฏจักรขาลงต่อเนื่อง แต่บริษัทมีการปรับตัวหลายเรื่องเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งมีทั้งแผนระยะสั้น ได้แก่ การเร่งเสริมสร้างสินค้าและบริหารที่สามารถแข่งขันได้ และ การยกเลิกธุรกิจที่ไม่ทำกำไรเพื่อลดภาระทางการเงิน

ตลอดจนการนำกำไรที่ได้จากการขายธุรกิจดังกล่าวมาชดเชยผลประกอบการจากธุรกิจหลักอื่นๆ ที่ยังขาดทุน และ การลดภาระดอกเบี้ยจ่ายด้วยการลดเงินทุนหมุนเวียนของทุกกลุ่มธุรกิจลง ประกอบกับ มีการจัดสรรเงินลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อลดภาระหนี้สินจากภายนอก รวมไปถึงการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในกลุ่มฯ ทั้งที่ประเทศเวียดนาม และ อินโดนีเซีย

นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ทางด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว สำหรับ "ธุรกิจเคมีภัณฑ์" จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนแนฟทา และ EDC ที่ลดลง พร้อมทั้งเร่งการผลิต HVA และ  Green Polymers พร้อมกับความพยายามที่มุ่งเน้นไปสู่ความสำเร็จตามแผน ได้แก่ โครงการ LSP Ethane ในเวียดนาม และ โครงการ Denka JV

ขณะที่ "ธุรกิจซีเมนต์" และที่เกี่ยวข้องกับ "วัสดุก่อสร้าง"  มุ่งเน้นซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ด้วยต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำลงและความแตกต่างของผลิตภัณฑ์  เพิ่มการเข้าถึงซีเมนต์คาร์บอนต่ำ GEN II และ III ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา   อีกทั้งการฟื้นตัวภายในประเทศและภูมิภาค โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐมาช่วยสนับสนุน  

"ธุรกิจบรรจุภัณฑ์" (SCGP) ซึ่งมุ่งเน้นการเติบโตภายในประเทศอาเซียนและเพิ่มผลกำไร โดยเฉพาะธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ของอินโดนีเซีย คาดว่าจะมีจุดคุ้มทุน EBITDA ภายในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ และ"ธุรกิจเซรามิก" (SCGD) จะเร่งขยายธุรกิจสู่ตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะกลุ่มสุขภัณฑ์ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2573 จากปีฐาน 2567