‘ทรัมป์’ ปลุกหุ้นจีนฟื้น เปิด 3 ปัจจัยดึงเงินไหลเข้าสูงเป็นประวัติการณ์

นโยบายภาษี ‘ทรัมป์’ ทำตลาดสหรัฐป่วน ปลุกหุ้นจีนฟื้น
เปิด 3 ปัจจัยดึงเงินลงทุนไหลเข้าสูงเป็นประวัติการณ์ ดันดัชนีฮั่งเส็งพุ่ง 17%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า “สงครามการค้า” ของ “โดนัล ทรัมป์” ปลุก “ตลาดหุ้นจีน” ให้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
ดัชนีฮั่งเส็งในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งมีบริษัทจีนขนาดใหญ่หลายแห่งมาจดทะเบียนปรับตัวขึ้นถึง 17% หลังจากที่ “โดนัล ทรัมป์” เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนม.ค.ที่ผ่านมาและเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจนทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี S&P 500 ลดลงประมาณ 9% และมูลค่าตลาดหายไปกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนก.พ.
หนีหุ้นสหรัฐ หันซื้อหุ้นจีน
แอนดี้ หว่อง ผู้บริหารของ Pictet Asset Management เผยว่านักลงทุนเริ่มเปลี่ยนความเชื่อจาก "TINA" (There Is No Alternative ) ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสินทรัพย์ในสหรัฐ ไปเป็น "TIARA" (There Is A Real Alternative) คือนักลงทุนเริ่มมองเห็นโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐ
หว่องเห็นโอกาสในการลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี กลาโหม และสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการเติบโตของหุ้นจีนส่วนใหญ่มาจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน หุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นกว่า 29% จนสามารถแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกเหนือจากนักลงทุนจะโยกงเงินลงทุนจากสหรัฐแล้ว ผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์กว่า 12 ราย พบว่านักลงทุนกำลังโยกย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นเกาหลีใต้และอินเดีย ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดย เจพี มอร์แกนยังพบว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินหยวนเป็นเงินดอลลาร์ฮ่องกงในปริมาณสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินทุนกำลังไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างมีนัยสำคัญ
3 ความน่าสนใจ ‘หุ้นจีน’
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าหุ้นเทคโนโลยีจะเติบโตได้อีกมาก โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจาก 2 เรื่อง คือ 1. บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ชื่อ DeepSeek เปิดตัวโมเดล R1 จนเกิดความคาดหวังว่าเทคโนโลยี AI จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี
2. ความหวังว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้คนจีนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการบริโภคที่ซบเซา
นอกจากนี้ อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมีความหวังกับหุ้นจีน คือ หุ้นจีนราคาถูกมาก โดยปัจจุบันหุ้นจีนมีราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 2564 ถึง 30% ตามข้อมูลจาก LSEG ดัชนี Hang Seng มีP/E ที่ระดับ 7 เท่า ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ของสหรัฐที่มี P/E ที่ระดับ 20 เท่า
ทรัมป์ไร้ทิศทาง สวนทางจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้น “สหรัฐ” กำลังปั่นป่วนหนัก หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เพื่อปฏิเสธข้อกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลต่อความไม่ชัดเจน
ทรัมป์ถูกถามในรายการ Sunday Morning Futures ว่า “คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้หรือไม่?”
ทรัมป์ตอบว่า "ผมไม่อยากคาดเดาว่าอะไรแบบนั้นจะเกิดขึ้น มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นยิ่งใหญ่มาก"
ขณะที่จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนก.พ. “สี จิ้นผิง” ได้จัดการประชุมกับผู้นำธุรกิจ ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจจีน
ตง เฉิน นักวิเคราะห์จาก Pictet Wealth Management ยังมองว่าจีนได้แสดงบทบาทผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน โดยข้อมูลจาก Morgan Stanley แสดงให้เห็นว่า กองทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในหุ้นจีนมูลค่า 3.8 พันล้านดอลลาร์ในเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ถอนเงินลงทุนออกไปในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นจีน
เหมาะลงทุนระยะ สั้น หรือ ยาว?
หุ้นจีนจะเคยพุ่งสูงขึ้นในเดือนก.ย. หลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การเพิ่มขึ้นนั้นก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ทำให้นักลงทุนกำลังตั้งคำถามว่า การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนครั้งนี้เป็นเพียงแค่ระยะสั้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระยะยาวกันแน่?
จากความกังวลเรื่องมาตรฐานการรายงานของบริษัทจีนแล้ว ปัญหา “เงินฝืด” ที่ยังเรื้อรังแก้ไม่หายและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐที่อาจปะทุขึ้นอีก ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงด้วย
นักวิเคราะห์จาก Pictet กล่าว ว่า “หลายคนยังเข็ดขยาดกับหุ้นจีนอยู่” เพราะจีนเคยถูกมองว่าไม่น่าลงทุน ดังนั้นเรื่องเงินฝืดก็ยังเป็นข้อกังวลอยู่ ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มหันมาสนใจกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น เพื่อทำกำไรจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากกว่า
อ้างอิง Reuters







