Nasdaq ดีดขึ้น 1% นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นเทคโนโลยี เงินเฟ้อต่ำหนุน

Nasdaq ดีดขึ้น 1% นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นเทคโนโลยี เงินเฟ้อต่ำหนุน

ดัชนี Nasdaq Composite S&P500 ปรับตัวสูงขึ้นในวันพุธ รายงานเงินเฟ้อต่ำ ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และนักลงทุนต่างพากันช้อนซื้อหุ้นเทคโนโลยีที่ราคาถูกลง

ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดหุ้นสหรัฐวันพุธ (12 มี.ค.) ว่า ดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวสูงขึ้นในวันพุธ หลังจากรายงานเงินเฟ้อ ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และนักลงทุนต่างพากันช้อนซื้อหุ้นเทคโนโลยีที่ราคาถูกลง

ดัชนีที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีดีดตัวกลับเพิ่มขึ้น 1.22% และปิดที่ 17,648.45 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.49% ปิดที่ 5,599.30 จุด ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวลดลง 82.55 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 41,350.93 จุด

แม้ว่ากลุ่มเทคโนโลยีจะปรับขึ้นวันนี้ แต่ดัชนี Nasdaq ลดลงมากกว่า 3% ในสัปดาห์นี้ ดัชนีดีดกลับตัวขึ้นในวันพุธจนนำดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้น  ราคาหุ้นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.4% และ AMD ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% Meta Platforms ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% และ หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าTesla พุ่งขึ้นมากกว่า 7%

ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งเป็นการวัดต้นทุนโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนกุมภาพันธ์เทียบกับเดือนก่อนหน้า ทำให้อัตราเงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ 2.8% ซึ่งต่ำกว่าที่ Dow Jones คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% และ 2.9% ตามลำดับ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนนี้ และ 3.1% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้

“ตัวเลขนี้จะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเงินเฟ้อสูง และจะช่วยให้ธนาคารกลาสหรัฐ(เฟด) มีความยืดหยุ่นด้านนโยบายของเฟดในระดับหนึ่ง” เดฟ เกรซเซก กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์การลงทุนและการวิจัยที่กองทุน Aspiriant Wealth Management กล่าว 

“หากตัวเลขเงินเฟ้อสูงขึ้น ความกังวลในบางเรื่องจะมากขึ้น เช่น เฟดจะไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ แม้เศรษฐกิจยังคงอ่อนแอลง”

สงครามภาษีกดดันตลาดหุ้น

มาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลบังคับใช้ในวันพุธ และแคนาดาประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในอัตรา 25% สหภาพยุโรปก็ตอบโต้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร หรือ 28,330 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน

ตลาดหุ้นตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่าความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจกระตุ้นให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นในช่วงนี้ก็คือ ความกังวลว่านโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของทรัมป์จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง หรือที่เรียกกันว่า “Stagflation” ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันพร้อมกับเงินเฟ้อพุ่งสูงว่างงานสูง

 

ในสัปดาห์นี้เพียงสัปดาห์เดียว ดัชนีดาวโจนส์ ,เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก ต่างก็ร่วงลงราว 3% โดยดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในวันอังคาร โดยในช่วงหนึ่งมีการปรับฐานร่วงลง 10% จากระดับสูงสุดที่ทำไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ลดลงมากกว่า 7% ในขณะที่ดัชนี Dow และ Nasdaq ลดลง 6.8% และ 10.2% ตามลำดับ

“เราไม่แปลกใจที่ตลาดปรับตัวลง เห็นได้ชัดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แข็งแกร่งเป็นพิเศษในช่วงสองปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องถูกต้องที่จะคาดว่าจะเกิดการปรับฐาน” เกรซเซก กล่าวเสริม “แต่ผมคิดว่าเมื่อเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ ซึ่งขณะนี้เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังที่สำคัญเหล่านี้ จะมีข่าวดีตามมา”