‘หุ้นยุโรป’ พุ่งทำนิวไฮ จับตาบทสรุป เจรจาข้อตกลงสันติภาพยูเครน

‘หุ้นยุโรป’ พุ่งทำนิวไฮ  จับตาบทสรุป เจรจาข้อตกลงสันติภาพยูเครน

ดัชนี ‘หุ้นยุโรป’ Stoxx 600 ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1% พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังรายได้บริษัทส่งสัญญาณฟื้นตัว จับตาบทสรุปเจรจาข้อตกลง ‘สันติภาพยูเครน’ เรียกเชื่อมั่นนักลงทุน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานความเคลื่อนไหวตลาด“หุ้นยุโรป”พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากผลประกอบการของบริษัทต่างๆ เริ่มฟื้นตัวซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่น พร้อมกับจับตาการเจรจา “ข้อตกลงสันติภาพ” ในยูเครน

ดัชนีตลาดหุ้นยุโรป Stoxx 600 ปิดตลาดพุ่งขึ้น 1% ทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นำโดยหุ้น  Anheuser-Busch InBev หุ้นของบริษัทข้ามชาติผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 8.6% หลังจากรายงานผลประกอบการที่สูงกว่าคาดการณ์ หลังยอดขายของแบรนด์หลักเติบโต และตลาดสำคัญอย่างสหรัฐเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว 

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มก่อสร้างและประกันภัยมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเกินคาด ในขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อเป็นกลุ่มที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด

หุ้นยุโรปมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นสหรัฐในไตรมาสนี้มากที่สุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากนักลงทุนมีความคาดหวังเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การปฏิรูปทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในเยอรมนี และความเป็นไปได้ในการหยุดยิงในยูเครน 

‘หุ้นยุโรป’ พุ่งทำนิวไฮ  จับตาบทสรุป เจรจาข้อตกลงสันติภาพยูเครน

 

จับตาบทสรุป ข้อตกลงสันติภาพยูเครน

ซูซานา ครูซ นักวิเคราะห์จากแพนเมอร์ ลิเบอรัมกล่าวว่า โมเมนตัมของตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากฤดูกาลประกาศผลประกอบการ ซึ่งบริษัทต่างๆ เผยรายได้กลับมาเติบโตอีกครั้งและประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสัญญาณของการฟื้นตัว หลังจากที่บริษัทต่างๆ พยายามลดต้นทุนมาหลายปี 

ท่ามกลางความระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของสหรัฐ โดยนักลงทุนให้ความสนใจกับมาตรการภาษีล่าสุดจากสหรัฐแในกรณีที่ “โดนัล ทรัมป์” สั่งให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบภาษีทองแดง

 นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจกับการเจรจาระหว่างยูเครนและสหรัฐ  ในข้อตกลงในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน  การเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจช่วยคลี่คลายความตึงเครียดล่าสุด และผลักดันเป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐในการหยุดยิงกับรัสเซีย  

อ้างอิง Bloomberg