โบรกชี้ ‘โอเวอร์ซัพพลาย’ กดดัน ‘กลุ่มหุ้นปิโตรเคมี’ เสี่ยงสูง 

โบรกชี้ ‘โอเวอร์ซัพพลาย’  กดดัน ‘กลุ่มหุ้นปิโตรเคมี’ เสี่ยงสูง 

โบรกคาด “กลุ่มปิโตรเคมี” ยังไม่ฟื้น หลัง “อุปทานล้นตลาด” จากกำลังผลิตใหม่จีน ด้านราคาพลังงานผันผวนต่อ ถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาษีทรัมป์ “บล.กสิกรไทย” ชี้ธุรกิจยังอยู่ในช่วง “ขาลง” อีก 1-2 ปี “บลทิสโก้” มองยัง “โอเวอร์ซัพพลาย” เหตุเศรษฐกิจจีนยังไม่ดี “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” มอง ปตท. ลดสัดส่วนถือหุ้นบริษัทในเครือให้ “พาร์ตเนอร์” ช่วยหนุนภาพธุรกิจ

ภาพรวมของ “อุตสาหกรรมปิโตรเคมี” ยังไม่ค่อยสู้ดีนัก หลังจาก “อุปทานล้นตลาด” จากกำลังผลิตใหม่ในประเทศจีน ขณะที่ ราคาพลังงานมีความผันผวนต่อเนื่อง ซ้ำเติมด้วย “นโยบายภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมียังเผชิญสารพัดปัจจัยกดดันและอยู่ในวัฏจักร “ขาลง” 

โบรกชี้ ‘โอเวอร์ซัพพลาย’  กดดัน ‘กลุ่มหุ้นปิโตรเคมี’ เสี่ยงสูง 

สะท้อนผ่านภาพของ “ธุรกิจปิโตรเคมี” ที่ผลประกอบการปี 2567 ออกมาไม่สดใส นำทีมโดย บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มีกำไรสุทธิ 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากช่วงเดียวกันปีก่อน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC พลิกขาดทุนสุทธิ 29,810.54 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 999,129 ล้านบาท

“จักรพงศ์ เชวงศรี” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กลุ่มปิโตรเคมีสภาวะอุปทานยังล้นตลาด (Oversupply) ที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ราคาน้ำมันค่อนข้างมีความผันผวนสูง เพราะปัจจัยที่เข้ามากระทบค่อนข้างมาก แต่ยังคงมองเป็นภาพที่ค่อย ๆ ทยอยลดลง ตามกำลังการผลิตอุปทานของ “กลุ่มนอนโอเปคพลัส” ที่สูงกว่าดีมานด์การเติบโต ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 ล้านบาร์เรล เฉพาะนอนโอเปคพลัส ดังนั้น คาดน้ำมันยังคงเป็น Sideways Down แต่ทั้งมวลยังคงขึ้นอยู่กับนโยบาย รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาด้วย แต่ภาพใหญ่จะค่อย ๆ ลดลง

ทั้งนี้ สิ่งที่อุตสาหกรรมดังกล่าวกำลังดำเนินการคือ “อะไรที่ทำแล้วไม่กำไร ไม่คุ้มค่าก็ทยอยปิด” ดังจะเห็นภาพของธุรกิจปิโตรเคมีในไทยหลายๆ บริษัทกำลังทำกัน เช่น บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL มีการปิดโรงงานในยุโรป หรือแม้แต่ PTTGC มีการปิด บริษัท อาซาฮี คาเซอิ คอร์ปอเรชั่น (AKC) ไป เป็นต้น เพื่อที่ต้องการทำสิ่งที่ขาดทุนออกไป เพื่อให้ผลการดำเนินงานกลับมาดีขึ้น แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณ

โดยในปีนี้ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี Price to Book Value Ratio (P/BV) หรือราคาตลาดต่อหุ้น มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ที่ 0.3 เท่า ราคาดาวน์ไซด์ต่อจากนี้ยังคงไม่มากแล้ว ซึ่งต้องรอดูจังหวะในการเข้าเป็นรายตัว แต่ปัจจุบันนี้ยังเร็วเกินไปนักลงทุนอาจจะต้องรอจังหวะอีกสักพักหนึ่ง

สำหรับ ในส่วนของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่คาดว่าจะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัทในเครือ หรือบริษัทลูก มองว่า เป็นการเปิดทางให้กับ “พาร์ตเนอร์” ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาอยู่ว่า ในไซเคิลนี้ที่มีดาวน์ไซเคิลระยะยาวทางกลุ่มจะต้องมีการแข่งขันกับผู้เล่นอื่นที่เป็นระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนที่ขึ้นมาระดับไซด์ใหญ่ ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการหาแต้มต่อเพื่อที่จะให้สามารถแข่งขันได้ จึงเป็นลักษณะของการศึกษาว่า จะทำอย่างไรในการนำเทคโนโลยีจากพาร์ทเนอร์รายใด หรือจะหาสต็อกที่ถูกกว่า เพราะพาร์ทเนอร์จะต้องสามารถเข้ามาช่วยด้านใดด้านหนึ่งได้ที่จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น

“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้ข้อมูลต่อไปว่า กลุ่มปิโตรเคมีทิศทางในปีนี้ยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากยังมีโอเวอร์ซัพพลายอยู่จากจีน ที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ดีนัก ขณะที่ Valuation ค่อนข้างต่ำ อาจจะสะท้อนไปในระดับหนึ่ง แต่ Earnings หรือ กำไรสุทธิบางตัวอาจจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นมาได้ เนื่องจากอาจจะมีรายการพิเศษจากปีก่อนหน้านั้นเข้ามา ทำให้ในปีนี้อาจจะทำกำไรได้

เช่นหุ้น PTTGC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ที่ Valuation ต่ำ ก็อาจจะเข้าไปลงทุนได้ แต่ทว่าเป็นการคาดหวังในระยะยาวมากกว่าหรือประมาณ 2 ปีข้างหน้า เพื่อภาวะตลาดกลับมาดีขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจดี ทำให้คาดหวังว่า จะกลับมาเล่นในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีได้

“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มปิโตรเคมีปีนี้อาจจะมีการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้มีจุดที่จะกลับไปอยู่ในจุดที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมาค่อนข้างแย่มาก และในปีนี้น่าจะปรับตัวขึ้นมาดีได้บ้างหรือทรงตัว ทั้งนี้ สิ่งที่จะดีขึ้นมีในเรื่องของต้นทุนน้ำมันที่อาจจะถูกลง แต่ทว่ายังมีโอเวอร์ซัพพลาย

อย่างไรก็ตาม แม้คาดว่าจะกลับมาดีขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเพอฟอร์มขึ้นมาได้ หากเทียบกันในกลุ่มโรงกลั่น อาจจะมีโอกาสมากกว่า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับฤดูกาลของค่าการกลั่น ขณะที่ต้นน้ำก็ยังคงเหนื่อย เพราะว่าราคาน้ำมัน ก๊าซน่าจะปรับตัวลงมาจากนโยบายทรัมป์ ส่วนปลายน้ำ กลุ่มโรงไฟฟ้ายังคงได้รับผลกระทบจากค่าไฟที่จะปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดค่าแก๊ส หรือภาษีต่าง ๆ ลง แต่ทว่าก็ยังไม่ได้ทำให้กำไรโรงไฟฟ้าดีขึ้น รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีก็ยังไม่ถึงขึ้นที่จะกลับมาดีได้สักทีเดียว

ส่วนกรณี PTT อาจจะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัทในเครือ มองว่าอาจต้องการให้กลุ่มลงทุนใหม่เข้ามาถือ เพื่อให้ภาพธุรกิจดีขึ้นหากเป็นในมุมนี้ก็ดีว่าเป็นเรื่องที่ดี