AOT ทำนิวโลว์ เปิดดิ่ง 10% หลังแจ้งปมคิง เพาเวอร์ แค่เลื่อนจ่าย ไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน

AOT ทำนิวโลว์ เปิดดิ่ง 10% หลังแจ้งปมคิง เพาเวอร์ แค่เลื่อนจ่าย ไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน

AOT ทำนิวโลว์ เปิดดิ่ง 10% ร่วง 4.75 จุด ระดับราคาอยู่ที่ 42.25 บาท หลังแจ้งปมคิง เพาเวอร์ แค่เลื่อนจ่าย ไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน โบรกเกอร์ปรับลดคำแนะนำลงเป็น “TRADING”

ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ เปิดตลาดภาคเช้า ณ วันที่ 17 ก.พ.68 เวลา 10.00 น. หุ้น AOT ดิ่ง 10.11% ร่วง 4.75 จุด ระดับราคาอยู่ที่ 42.25 บาท

AOT ทำนิวโลว์ เปิดดิ่ง 10% หลังแจ้งปมคิง เพาเวอร์ แค่เลื่อนจ่าย ไม่แก้ไขสัญญาสัมปทาน

จินดานุช ประเวศโชตินันท์ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)  เปิดเผยว่า หุ้น AOT มีการประชุมนักวิเคราะห์โทนเป็นลบ จากสองประเด็นสำคัญดังนี้ โดย ประเด็นที่ 1 ลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น 3.7 พันล้านบาท QoQ เนื่องจากมีผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ในสนามบินหลายรายขาดสภาพคล่อง ขอยืดระยะเวลาชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์ออกไป 18 เดือน แต่มีการวางหลักประกัน Bank Guarantee ตามจำนวนเงินที่เลื่อนชำระ ซึ่ง AOT จะได้รับค่าปรับที่อัตรา 18% ต่อปีผู้บริหารให้สัมภาษณ์กับสื่อล่าสุดว่าอาจมีการเจรจาปรับอัตราดอกเบี้ยลงเป็น 9% และกว่า 80% ของยอดลูกหนี้รวมที่เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่ม King Power เริ่มค้างชำระตั้งแต่ ส.ค.2567 อย่างไรก็ดี AOT ยังไม่ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นเนื่องจาก Bank Guarantee ยังครอบคลุมจำนวนหนี้ในปัจจุบัน

ประเด็นที่ 2 รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ในไตรมาส 4/67 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และไม่เติบโต YoY แม้จำนวนผู้โดยสารจะเติบโตเด่น ผู้บริหารให้ความเห็นว่ามาจากรายได้สัมปทานบางสัญญาที่ไม่ขึ้นกับจำนวนผู้โดยสารอีกทั้งถูกกดดันจากการขอคืนพื้นที่เชิงพาณิชย์ในช่วงปีงบประมาณ 2566/2567 

ทั้งนี้ การเลื่อนชำระเงิน ของ King Power เป็นความเสี่ยงในการเก็บรายได้ของ AOT ปี 2019 กลุ่ม King Power ชนะประมูลสัมปทานเพื่อประกอบกิจการ Duty Free และการบริหารเชิงพาณิชย์แต่ COVID-19 ทำให้ AOT ต้องออกมาตรการช่วยเหลือ KP และรายอื่นๆ โดย 1) คิดส่วนแบ่งรายได้แทนการจ่าย Minimum Guarantee (MAG) เป็นเวลา 3 ปี (สิ้นสุด มี.ค.2566) และ 2) ให้แบ่งชำระส่วนต่างระหว่างส่วนแบ่งรายได้และ MAG ออกไปอีก 6 เดือน (สิ้นสุด เม.ย.2567) แม้การขอยืดระยะเวลาการจ่ายหนี้ในครั้งล่าสุดจะไม่กระทบการบันทึกรายได้ของ AOTแต่ตลาดมองเป็นลบเพราะ Traffic การเดินทางในปัจจุบันฟื้นตัวกว่า 95% ของช่วง Pre COVID-19 แล้ว การขอผ่อนผันระยะเวลาชำระเงินสะท้อนความเสี่ยงของ AOT ที่ผู้ประกอบการจะไม่สามารถจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัมปทานที่ประมูลมาตลาดผิดหวัง และลดความเชื่อมั่นต่อการรับรายได้แบบ Minimum Guarantee ราคาหุ้น AOT ปรับตัวลงแรงจากความผิดหวังของตลาด เพราะภาคท่องเที่ยวกำลังกลับสู่ระดับปกติ และช่วงที่ผ่านมา AOT ออกมาตรการช่วยเหลือมาต่อเนื่อง ถึงเวลาที่จะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ในอัตราปกติราว 2.4-2.6 หมื่นล้านบาทต่อปี 

แม้เราประเมินว่า AOT จะพยายามบริหารจัดการลูกหนี้ทุกรายให้ดีที่สุดแต่การที่ลูกหนี้ขอขยายเวลาชำระครั้งนี้ส่งผลให้ตลาดไม่เชื่อมั่นต่อตัวเลข MAG มีโอกาสที่จะต้องปรับลดประมาณการลง หากมีการปรับเงื่อนไขสัญญาหรือเปิดประมูลใหม่แล้ว MAG ต่ำกว่าสัญญาปัจจุบัน  รายได้จากสัญญาเดิมต่ำกว่าปัจจุบันราว 0.8-1.0 หมื่นล้านบาทต่อปี เพื่อให้ประมาณการของเราอนุรักษนิยมมากขึ้น 

ทั้งนี้ ปรับลดกำไรปกติปี 2568-2569 ลง 16-17% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท -8% YoY และ 2.0 หมื่นล้านบาท +13% YoY จากการ 1) ปรับลดจำนวนผู้โดยสารรวมจาก 136-146 ล้านคนลงเป็น 129-136 ล้านคนให้ใกล้เคียง Guidance ของบริษัท และ2) ปรับจำนวนเที่ยวบินรวมลงปีละ 3% และ 3) เราปรับรายได้ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อหัวลดลง 20% ตั้งแต่กลางปีงบประมาณ 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ปรับลดคำแนะนำลงเป็น “TRADING” ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ลงเป็น 50 บาท คาดราคาหุ้นลงมารับความผิดหวังไปบ้างแล้ว แต่แนะนำ Wait and see รอหุ้นปรับฐานก่อนกลับเข้าสะสมเพราะหุ้นมี Downside ที่ทำให้ลงได้อีกเช่น หากสัญญา MAG ถูกยกเลิกหรือแก้ไขปรับลงจากปัจจุบันอีก 30% ไปใกล้เคียงสัญญาเดิมปี 2018 หุ้นมีโอกาสลงไปที่ +/-40 บาทได้ Catalyst ของ AOT จากนี้จะไม่ใช่แค่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว ต้องติดตามการกลับมาชำระเงินของ KP ในรอบเดือนมี.ค.-เม.ย.25

หากกลับมาจ่ายได้ตามปกติ (Credit Term 1เดือน) มีโอกาสที่ตลาดจะลดความกังวล หนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัว

ด้าน กฤช ภาคากิจ เลขานุการบริษัท ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ทอท.ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยสารสนเทศดังกล่าวได้ระบุถึง ความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารของ ทอท. ซี่งบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุว่า ปัญหาสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ อาจมีผลกระทบต่อรายได้ของ ทอท. 

หากสถานการณ์นี้ยังยืดเยื้อ ซึ่งอาจนําไปสู่การเจรจาปรับเงื่อนไขเกี่ยวกับข้อตกลงสัมปทาน โดยเฉพาะในเรื่องค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ ทอท.จากการสัมปทานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันรายได้จากสัมปทานมีสัดส่วน 33% ของรายได้รวมที่ ทอท.คาดว่าจะได้รับในปีงบประมาณ 2568 

และยังเป็นแหล่งกําไรหลักของ ทอท.หากมีการปรับเงื่อนไขสัมปทานจริง อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการกําไรของ ทอท. ในด้านการลงทุน CGSI มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลจากนักลงทุน โดยคาดว่าราคาหุ้นของทอท.อาจได้รับแรงกดดันในเชิงลบในระยะสั้น 

เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) หรือ KS ระบุว่า ทอท.กําลังเผชิญกับปัญหาลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่ผู้รับสัมปทานขอเลื่อนการชําระเงินออกไปอีก 18 เดือนโดยระหว่างนี้ผู้รับสัมปทานจะต้องจ่ายค่าปรับในอัตราประมาณ 18% ต่อเดือน

โดย ทอท.ขอชี้แจงว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) มีหนังสือถึง ทอท. ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย รวมถึง KPD ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างรุนแรง เนื่องจากรัฐบาลได้ออกข้อกำหนดในการจำกัด และควบคุมการเดินทางอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบิน และผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ทำให้ KPD ไม่สามารถดำเนินธุรกิจตามสัญญาได้ตามปกติ 

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ KPD ประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 นั้น ก็พยายามประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินการต่อเพื่อให้ธุรกิจรวมถึงพนักงานทุกคนสามารถอยู่รอดในสภาวะที่ยากลำบากนี้ อันเกิดจากการที่ร้านค้าจำหน่ายสินค้าปลอดอากรต้องปิดร้านค้าชั่วคราวตามคำสั่งของรัฐบาลอันเนื่องมาจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 และเป็นเหตุให้พนักงานขายต้องขาดรายได้หลัก และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพอย่างมาก 

แต่ด้วยความอนุเคราะห์ของ ทอท.ที่ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ในสนามบิน โดยการให้ผู้ประกอบการ เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ จากการที่ KPD ได้รับมาตรการการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนจาก ทอท. จึงสามารถดูแล และเยียวยาพนักงานของ KPD ได้จนถึงปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ KPD ยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง และไม่สามารถฟื้นคืนธุรกิจได้อย่างเต็มที่ตามที่เคยประเมินไว้ รวมถึงความจําเป็นที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อการปรับปรุง ก่อสร้าง ติดตั้งระบบต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ., ทภก. และ ทดม. เป็นผลให้ KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น การที่สถาบันการเงินมีนโยบายไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม 

รวมถึงการทยอยครบกำหนดชำระหนี้ต่างๆ กับสถาบันการเงิน และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ครบกำหนดชำระให้แก่ ทอท. (งวดปกติ และงวดที่ถึงกำหนดชําระจากการเลื่อนชําระ) และการชําระค่าสินค้าที่ได้สั่งซื้อไว้กับ Supplier (ซึ่งเป็นหัวใจหลักเพื่อให้มีสินค้าไว้จําหน่าย) ทำให้สถานะทางการเงินของ KPD ที่มีภาระต้องชําระค่าภาระต่างๆ เกิดการกระจุกตัวในช่วงที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก

นอกจากนั้น จำนวนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ต้องชําระให้แก่ ทอท.นั้น คิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงจากการที่ประมาณการเติบโตของยอดใช้จ่ายของผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากประมาณการที่เติบโต ดังกล่าวประเมินจากสถานการณ์ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 เป็นผลให้สัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ในปัจจุบัน 

นอกจากนี้ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้โดยสารระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และการใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าปลอดอากรก็เติบโตน้อยลงกว่าที่ได้ประมาณการไว้ 

จากเหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุให้รายได้ของ KPD ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และประสบกับปัญหาขาดทุน โดยในปี 2566 ขาดทุนถึงจำนวน 651,512,785 บาท ซึ่ง KPD ได้พยายามดำเนินการในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน KPD ก็ยังคงประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว KPD จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขอความอนุเคราะห์จาก ทอท.ในการเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำซึ่งครบกำหนดชําระตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2568 รวม 12 งวด ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน ซึ่งจะทำให้ KPD มีระยะของช่องว่างทางการเงินที่เพียงพอกับการฟื้นฟูให้สภาพคล่องของ KPD กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง 

รวมถึงการขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนนับแต่งวดชําระปลายเดือนสิงหาคม 2567 นั้น สืบเนื่องมาจากช่วงดังกล่าวเริ่มเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (Peak Season) KPD คาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วง Peak Season 

ดังนั้น KPD จึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อการสั่งซื้อสินค้ามาจําหน่ายเพิ่มเติม เพื่อรองรับผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ ทสภ. ทภก. และ ทดม. ในช่วงดังกล่าว และเพื่อให้สามารถผลักดันยอดรายได้จากฤดูกาลท่องเที่ยวที่กําลังจะมาถึงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ 

นอกจากนี้ การเลื่อนชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำดังกล่าวจะทำให้ KPD ไม่มีภาระเพิ่มเติมในช่วงระหว่างการเลื่อนชําระ และจะทำให้ KPD สามารถแก้ปัญหาสภาพคล่องในปัจจุบันตามที่กล่าวข้างต้นได้ โดย KPD คาดหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินดีขึ้นตามลำดับ และกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปี 2569

ทั้งนี้ KPD ใคร่ขอเรียนว่าการขอเลื่อนการชําระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตามที่กล่าวข้างต้นนั้น เกิดจากผลกระทบจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกัน และต่อเนื่อง (ตามข้อเท็จจริงที่เรียนไว้ข้างต้น)อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ของสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ไม่คาดคิด และเป็นเหตุสุดวิสัยที่ KPD ไม่สามารถควบคุมได้จนส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (ถึงแม้สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับก็ตาม) ทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และนํามาสู่ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้

โดย ทอท.ได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวจาก KPD และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผลประกอบการตามสัญญา พบว่าสัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าปลอดอากรต่อผู้โดยสารก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จึงมีความเห็นว่า KPD ประสบปัญหาสภาพคล่องตามที่ได้ระบุในหนังสือฯ จริง และการดำเนินการดังกล่าวเป็นการแจ้งการผิดนัดชำระหนี้ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งไม่เกิดความเสียหายแก่ ทอท. 

แต่เนื่องจากสัญญาได้ระบุค่าปรับผิดนัดชำระไว้ที่ 18% ทอท.จึงแจ้งต่อคู่สัญญา ตามหนังสือที่ ทอท.16818/2567 อนุญาตให้ KPD เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ออกไปเป็นระยะเวลางวดละ 18 เดือน โดยไม่ยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับจากการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในปี 2567 ผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท.ทั้ง 6 แห่ง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) กลุ่มผู้ประกอบการรถเช่า สายการบินบางราย และบริษัทร่วมต่างประสบปัญหาในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ 

ดังนั้น เป็นผลให้ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ ขอยกเลิกประกอบกิจการ ขอลดขนาดพื้นที่ จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้ประกอบการฯ สายการบิน หรือคู่ค้าอื่นๆ ของ ทอท.ประสบปัญหาจากการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ทอท. เช่น ผลประกอบการขาดทุน จนทำให้สภาพคล่องไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายให้แก่ ทอท.ตามกำหนด 

โดยปัจจุบันผู้ประกอบการฯ ของ ทอท.โดยเฉลี่ยมีการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) เกินกว่า 50 ในการนี้ผู้ประกอบการฯ บางส่วนจึงได้แสดงเจตนาพร้อมเหตุผล และข้อมูลสนับสนุนเพื่อขอผ่อนชำระ ขยายระยะเวลาการชำระเงิน หรือปรับโครงสร้างการชำระเงิน 

และทอท.ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อ ทอท.แล้ว พบว่าการอนุญาตให้ผู้ประกอบการฯ ปรับโครงสร้างการชำระเงินจะเป็นประโยชน์กับ ทอท.มากกว่าการไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการ ดำเนินการตามที่ร้องขอ รวมทั้งดีกว่าการยกเลิกสัญญา และทำการประมูลใหม่ เนื่องจากอาจทำให้ ทอท.ได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่เคยได้รับอย่างมีนัยสำคัญ 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทอท.จะเรียกเก็บค่าปรับจากการผิดนัดชำระที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขสัญญาในอัตรา 18% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราค่าปรับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเบี้ยปรับของรัฐวิสาหกิจอื่น และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระในอัตรา 5% ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น เพื่อให้ ทอท.ยังสามารถรักษาผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามในยูเครนและอิสราเอล ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

โดย ทอท.จึงได้จัดทำโครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการฯ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ที่เผชิญสภาพคล่องตกต่ำ เสนอคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ดังกล่าว โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

1.ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ล่วงหน้าก่อนวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญา พร้อมทั้งต้องแสดงเหตุผลของการขาดสภาพคล่องให้ ทอท.พิจารณาภายในวันที่ 30 กันยายน 2568

2.ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่ขอเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีหลักประกันสัญญาและวงเงินของหลักประกันสัญญาต้องครอบคลุมเงินต้นรวมกับค่าปรับจากการผิดนัดชำระในอัตรา 18% ต่อปี

3.ผู้ประกอบการฯ และสายการบินจะสามารถเลื่อนหรือแบ่งชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทน หรือค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) โดยระยะเวลาที่ขอเลื่อน และแบ่งชำระงวดสุดท้ายจะต้องสิ้นสุดไม่เกินอายุสัญญา และไม่เกิน 24 เดือน นับถัดจากเดือนที่ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการฯ (มกราคม 2570)

4.ผู้ประกอบการฯ และสายการบินต้องชำระดอกเบี้ยของยอดเงินที่ขอเลื่อน และแบ่งชำระทุกเดือน ตามอัตราที่ ทอท.กำหนด โดยอัตราดอกเบี้ย (ร้อยละต่อปี) คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (Minimum Loan Rate : MLR) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง  

โดยประกอบไปด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบวกเพิ่มอีก 2%ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ของ ทอท. โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR และ WACC ณ วันที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินแต่ละรายได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ทอท.อนุมัติเป็นต้นไปโดยไม่มีผลย้อนหลัง (ผู้ประกอบการฯ และสายการบินที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องชำระดอกเบี้ยให้ ทอท.ทุกเดือน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกรณีผิดนัดชำระพร้อมกับเงินต้นในคราวเดียวกัน)

5.ในกรณี ที่ผู้ประกอบการฯ และสายการบินผิดนัดชำระเงินของโครงการฯ งวดใดงวดหนึ่งหรือมีหนี้สินเกิดขึ้นใหม่ ให้ถือว่าสิทธิตามโครงการนี้สิ้นสุดลงทันที และ ทอท.จะดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาต่อไป

6.ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตามความเหมาะสม และยกเลิกโครงการฯ ได้และให้ผลการพิจารณาของ ทอท. ถือเป็นที่สุด

จากการชี้แจงดังกล่าว ทอท.ขอยืนยันว่า ทอท.มิได้ทำการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีกับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จากกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และยังคงดำเนินการตามสัญญาอย่างต่อเนื่อง โดย ปฏิบัติตาม หลักธรรมาภิบาล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเคร่งครัด

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์