โบรกยกหุ้น‘หุ้นแบงก์-คริปโท’เด่น อานิสงส์ไทยจุดพลุ ‘ไฟแนนซ์เชียลฮับ’ หวังดึงเงินเข้าลงทุน

โบรกยกหุ้น‘หุ้นแบงก์-คริปโท’เด่น อานิสงส์ไทยจุดพลุ ‘ไฟแนนซ์เชียลฮับ’ หวังดึงเงินเข้าลงทุน “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ชี้หนุนสร้างอุตสาหกรรม New S-Curve ดันเศรษฐกิจโตต่อ
หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 เห็นชอบในหลักการ ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจ ทางการเงิน พ.ศ. ... โดยหลังจากนี้จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจร่างกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป โดยกฎหมายนี้จะสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางทางการเงิน” หรือ “Financial Hub” ของภูมิภาคได้ในอนาคต และเป็น “ผู้เล่นสำคัญ” ในเวทีโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และจะเป็นตัวเชื่อมโยงการทำธุรกรรมทางการเงินที่ไร้รอยต่อกับธุรกิจประเทศเพื่อนบ้าน
สะท้อนผ่านสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อต้องการตั้งเป็น One Stop Authority หวัง “ดึงดูด” ธุรกิจทางการเงินต่างชาติ 8 ประเภทให้เข้ามาลงทุนในไทย “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ระบุว่า ศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาคหรือโลก อันดับ 1 นิวยอร์ก (สหรัฐ) อันดับ 2 ลอนดอน (อังกฤษ) อันดับ 3 ฮ่องกง และอันดับ 4 สิงคโปร์
ขณะที่ “ประเทศไทย” ยังทิ้งห่างอยู่มาก เนื่องจากเมืองศูนย์กลางทางการเงินอันดับต้น ๆ ได้รับการออกแบบกฎกติกา เกณฑ์ด้านภาษี และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนการเคลื่อนย้ายเงินทุนและการระดมทุนอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ประเมินเป็นบวกต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น การมีสถาบันการเงินต่างประเทศรองรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย รวมการขยายขอบเขตบริการทางการเงินคนไทยออกไปต่างประเทศ โดย “กูรู” ประเมินหุ้นที่ได้รับผลบวก ประกอบด้วย “กลุ่มธนาคาร” (แบงก์) ในส่วนธุรกรรมการลงทุน-การเงินในประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้น “กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม” (การผลักดัน Financial Hub ส่วนหนึ่งคาดมีผลเป้าหมายดึง FDI) “กลุ่ม Digital Tech Consult” ที่มีโอกาสได้งานเกี่ยวข้องกับระบบดิจิทัลสถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาเพิ่มเติม
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากมองไทยกำลังจะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ภาพรวมจะทำให้บรรยากาศลงทุนดีขึ้น แต่ประเด็นหลักๆ คงไม่พ้นภาพของ “เศรษฐกิจไทย” โดยในประเด็นดังกล่าวประเมินว่า “หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์” ยกให้ “กลุ่มธนาคาร” (แบงก์) และ “กลุ่มไฟแนนซ์”
“รัฐต้องการพยายามจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ เพื่อให้เงินไหลเข้ามา คล้ายๆ กับประเทศสิงค์โปร์ และฮ่องกง ที่มีการตั้งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีแข่งขันกันอยู่ ณ ปัจจุบัน”
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่า ประเทศไทยเองต้องการชูนโยบายดังกล่าว เพื่อต้องการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาทำธุรกรรม รวมทั้งเพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ New S-Curve เพื่อหาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อมาหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นมาต่อ
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีความชัดเจนว่าประเทศไทยมีความต้องการเติบโตทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์อาจจะยังต้องรอ ทำให้หลายอย่างช้ากว่าที่คิด รัฐบาลจึงต้องการทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือศูนย์กลางทางการเงิน
เพราะฉะนั้นหากมาดูสัดส่วนของการเงินต่อจีดีพียังไม่ดี หากรัฐบาลดันขึ้นมาได้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ที่จะเข้ามาช่วยต่อจากกลุ่มท่องเที่ยวที่หนุนเศรษฐกิจประเทศไทย หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์เป็น อาทิ กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กลุ่มธนาคาร กลุ่มการเงิน กลุ่มประกัน กลุ่มบริหารความมั่งคั่ง ขณะที่ “มูลค่าการซื้อขาย” (วอลุ่ม) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะ “ซบเซา” การบริหารความมั่งคั่งจึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หลักทรัพย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.ต้องการผลักดันขึ้นมา ซึ่งภาครัฐน่าจะเห็นแนวทางนี้เช่นเดียวกัน
โดย “ข้อดี” ที่เห็นได้ชัดเจนของการตั้งไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งจะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา รวมทั้งช่วยหนุนให้ “บริษัทข้ามชาติ” เข้ามาจดทะเบียนในไทยมากขึ้น ขณะที่เซกเตอร์ทางการเงินต่าง ๆ จะมีพัฒนาการเป็นไปในทางบวก โดยเฉพาะธุรกิจหลักทรัพย์จะหยุดนิ่งแค่ซื้อขายหุ้นอย่างเดียวไม่ได้ เพราะการจะเป็นศูนย์กลางไฟแนนซ์เชียลก็ต้องมีธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น การบิริหารความมั่งคั่ง หรือ Wealth Management , กองทุนอีทีเอฟ เฮดจ์ฟันด์ หรือ Private Equity จะสามารถดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาในไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ทว่ายังมีข้อเสียด้านบุคลากรของไทยที่ยังมีจำนวนจำกัด
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเสริมว่า รัฐบาลต้องการที่จะดึงธุรกิจที่เกี่ยวกับด้านการเงิน 8 ประเภทมาในไทยมากขึ้น แต่ทว่าสิ่งที่ยังไม่เห็นคือ อำนาจของคณะกรรมการการกำกับดูแลจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งปัจจุบันการกำกับดูแลทางด้านการเงินอยู่ภายใต้ของ 3 หน่วยงาน อย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ ในธุรกิจสมัยใหม่ อาจจะต้องมีหน่วยงานการกำกับดูแลเพิ่มขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทั้งหมดในหลายประเภท ซึ่งในอนาคตการออกใบอนุญาตต่าง ๆ หรือกฎเกณฑ์ธุรกิจสามรถทำได้ อย่างธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล น่าจะมีโอกาสเกิดได้ง่ายขึ้น เพราะหากมีการกำกับดูแลในหน่วยงานเดียวคงไม่เพียงพอ
ขณะเดียวกัน หากจะดึงหน่วยงานต่าง ๆ จากต่างประเทศเข้ามา ก็ต้องมีข้อเสนอว่าจะให้อะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าดูแล้วสิ่งที่จะได้คือ นโยบายด้านภาษี และหากไปดูใน Southeast Asia ที่เป็นฮับทางด้านนี้คือ สิงคโปร์ ซึ่งสิงคโปร์มีภาษีนิติบุคคลที่ 17% ในขณะที่บ้านเรามีภาษีนิติบุคคลที่ 20% เพราะฉะนั้น ถ้าไทยจะดึงต่างชาติเข้ามาอาจจะต้องมีการปรับลดภาษีลง อย่างไรก็ตาม หากลดลงมาที่ 15% ก็จะต้องมีประเด็นของ GLOBAL MINIMUM TAX ในหลาย ๆ ประเทศอาจจะต้องลดลงหรือไม่
“เราประเมินว่า มีโอกาสที่จะให้สิทธิทางภาษี หากให้แล้ว ก็ต้องให้ผู้เล่นในประเทศด้วย เพื่อสิทธิเท่าเทียมกัน อาจจะเป็นมุมบบวกให้กับผู้ประกอบการในประเทศได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดยังไม่มีความชัดเจน ของร่างกฎหมาย และเรื่องนี้มีการพูดคุยกันครั้งแรกเมื่อประมาณเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่า เร็วมาก วันนี้เสนอผ่านครม.แล้ว กฎหมายที่เป็นร่างน่าจะได้เห็นในช่วงเดือนมี.ค. หรือเม.ย. 2568 ถือว่าค่อนข้างเร็วมาก และต้องไปดูในข้อกฎหมายอีกทีหนึ่ง”
ทั้งนี้ เบื้องต้นมองว่า ธุรกิจใหม่ ๆ อย่างดิจิทัลต่าง ๆ จะเกิดได้ง่ายขึ้น รวมถึงผู้เล่นในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ มีโอกาสได้ลดหย่อนภาษี ถ้ากฎหมายฉบับนี้ให้สิทธิทางภาษีกับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ธุรกิจฝั่งดิจิทัลในประเทศไทยยังไม่มาก เพราะปัจจุบันมีบริษัทที่อยู่ภายใต้ของ ก.ล.ต.ที่สามารถออกสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ราย และอาจจะมีพาร์ตเนอร์อยู่ต่างประเทศ อย่าง ไบแนนซ์ ตรงนี้ยังไม่แน่ใจว่ารูปแบบของธุรกิจจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง