ภาษี ‘ทรัมป์’ เขย่า ‘หุ้นไทย’ ดิ่งเหว หวั่น ‘สงครามการค้า’ ปะทุลุกลาม

ภาษี ‘ทรัมป์ ’เขย่า ‘หุ้นไทย’ ดิ่งเหว หวั่น ‘สงครามการค้า’ ปะทุลุกลาม "นักวิเคราะห์" เผย ต่ำสุดในรอบ 4 ปี อาจรีบาวด์กลับได้ระยะสั้น หวั่น ลากยาวนานแรมปี
“ตลาดหุ้นไทย” ร่วงหนักทันทีเปิดตลาด 43.63 จุด รับแรงกระแทก การลงนามคำสั่งบริหารล่าสุดของ “ทรัมป์” เพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับ “แคนาดาและเม็กซิโก” 25% และ “จีน” 10% มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.นี้ โบรกฯ ชี้นักลงทุนเทขายหุ้นหนีความเสี่ยงสงครามการค้ารอบใหม่ ด้าน “เงินบาทอ่อนค่า” แตะ 34 บาทต่อดอลลาร์
พลันที “สงครามการค้า” เริ่มปะทุขึ้นแล้ว เมื่อประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ลงนามขึ้นภาษี “แคนาดาและเม็กซิโก” 25% และ “จีน” 10% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันทีในวันนี้ (4 ก.พ. 68) ขณะที่แคนาดาไม่รอช้าโต้กลับด้วยการสั่งเก็บภาษี สหรัฐรอบแรก 25% สำหรับเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์กระดาษ โดยมีผลวันเดียวกัน ส่วนจีนฟ้ององค์การการค้าโลก หรือ WTO หลังทรัมป์ขึ้นภาษี 10% ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคและหุ้นไทยร่วงลงอย่างหนัก
“หุ้นไทย” ดิ่งแรงสุดของวันอยู่ที่ 43 จุด
ความเคลื่อนไหว “ตลาดหุ้นไทย” วานนี้ (3 ก.พ.2568) ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลงต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,270.87 จุด ลดลง 43.63 จุด ก่อนรีบาวนด์มาปิดตลาดอยู่ที่ 1,304.39 จุด ลดลง 10.11 จุด หรือ 0.77% ด้วยมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) 54,212.17 ล้านบาท โดยพบว่านักลงทุนประเภทบัญชีหลักทรัพย์ (บล) ขายสุทธิ 1,142.86 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 362.91 ล้านบาท ขณะที่ นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 600.74 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป (รายย่อย) ซื้อสุทธิ 905.03 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้ตลาดมีความกังวล 1. ความกังวลปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวที่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีธุรกิจสมัยใหม่ แต่ยังคงเป็นธุรกิจดั้งเดิม ซึ่งตลาดยังคงให้มูลค่าน้อยลงไปเรื่อย ๆ 2. มาจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญการลงทุนมีความกังวลต่อภาพกลาง-ยาวต่อตลาดหุ้นไทย
โดยจะเห็นว่า เริ่มมีคำแนะนำว่า อาจจะต้องมีการลดน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยลง หากมองในการกระจายสินทรัพย์การลงทุนมองว่า ก็มีความเป็นไปได้ หากในอนาคตสมมุติหุ้นไทยไม่ได้มีการเติบโตในระยะยาว แต่การคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวอาจจะต้องมองหุ้นไทยแค่เป็นการสร้างกระแสเงินสด แต่ไม่ได้เป็นหุ้นเติบโต หากเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงและมีการปรับลดน้ำหนักลงไปได้ และ 3. ประเด็นความความเสี่ยงจากสหรัฐ ที่มีผลกระทบเกิดขึ้นกับจีน จึงกลายเป็นภาพที่ทำให้มากดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์นี้
“เมื่อหลายอย่างรวมกันจึงทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังในตลาดหุ้นไทยลง โดยในช่วงระยะกลาง-ยาว หุ้นไทยเสียเสน่ห์ของความน่าสนใจการลงทุนในระยะยาว แต่ถ้ามองว่า หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในมิติกระแสเงินสด เวลาที่โลกมีความปั่นป่วนหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเป็นหลุมหลบภัยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจเทคโนโลยี และเป็นตลาดที่มีการบริโภคค่อนข้างใหญ่ รวมไปถึงหุ้นไทยปัจจุบันหลายตัวให้ปันผลที่นักลงทุนจับต้องได้และน่าสนใจ ซึ่งหุ้นไทยจะมีความน่าสนใจบริเวณต่ำกว่า 1,300 จุด และอาจจะเกิดการแกว่งตัวบริเวณ 1,300-1,500 จุด”
โดยหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาแรงวานนี้ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,273 จุด แถว ๆ เดือนส.ค. 2567 เป็นช่วงก่อนที่กองทุนวายุภักษ์จะเข้า แต่ถ้าย้อนหลังไปในปี 2563 ช่วงโควิดถือว่าต่ำสุดในรอบ 4 ปี
มองตลาดหุ้นรีบาวนด์ได้ระยะสั้น
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้ข้อมูลต่อไปว่า ภาพของการลงทุนเริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ที่มีความกังวล จึงทำให้เกิดการเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งแนวโน้มหลังจากนี้เป็นต้นไป มองว่า ยังคงรีบาวด์ได้แต่ในระยะสั้น ๆ แต่ทว่าโอกาสในการปรับตัวลงมาสูงก็มีมากเช่นกัน หากเมื่อกลับไปดูสงครามการค้าในรอบก่อนหน้านี้ กำไรต่อหุ้นช่วงปลายปี 2019 เจอผลกระทบสงครามการค้าอย่างรุนแรง EPS กำไรอยู่ที่ประมาณ 87 บาทต่อหุ้น แต่ ณ ปัจจุบันตลาดทำกำไรอยู่ที่ประมาณ 95 บาทต่อหุ้น ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วมองว่า ยังมีดาวน์ไซด์อยู่ ซึ่งน่าจะปรับลงไปอีก แต่ยังคงต้องจับตาดูว่าสงครามการค้าจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ย้อนดูในช่วงปี 2019 ฟันด์โฟลว์ยังคงมีการไหลออกเกือบทุกกลุ่ม ยังเว้นกลุ่มโรงพยาบาล
“มองว่า โอกาสจะเกิดสงครามการค้าขึ้นอย่างรุนแรง และจะกลับมารีบาวด์ในระยะสั้นได้ โดยมองไว้บริเวณ 1200 - 1250 จุด จึงมองว่าในข่วงอาจจะต้องชะลอการลงทุน เพราะยังคงมึความเสี่ยง จากก่อนหน้านี้ปี 2019 เทรนด์สงครามการค้าจะยังคงลากยาวเป็นปี แต่ทว่ายังคงเทรดได้ในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้า เช่นหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เพราเมื่อมีประเด็นสงครามการค้า น่าจะยังมีกระแสของการย้ายฐานการผลิต รวมถึงกลุ่มปลอดภัย หรือ Defensive Stock ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร หรือโรงพยาบาล”
นักลงทุนเทขายหุ้นไทยหนีความเสี่ยง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้ข้อมูลเสริมว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างแรงซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีความกังวลหลังทรัมป์ได้มีการขึ้นภาษี แคนนาดา แม็กซิโก 25% และจีน 10% ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะมีผลในวันพรุ่งนี้ (4 ก.พ.68)
โดยบรรยากาศการลงทุน นักลงทุนต้องการหลีกหนีความเสี่ยง จะสังเกตได้จากดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า
“หากนักลงทุนจะเลือกลงทุนในเดือนนี้ แนะนำหุ้น Domestic และหุ้นปันผล แต่ควรใช้จังหวะนี้ในการตั้งรับ แต่วันนี้อาจจะปรับตัวลงได้เช่นกัน เนื่องจากตลาดในต่างประเทศยังไม่ดี ยังคงได้รับแรงกดดัน”
เงินบาทอ่อนแตะ 34 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวานนี้ (3 ก.พ.) เปิดช่วงเช้าที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.65 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่าเงินบาทมีโอกาสเสี่ยงกลับมาอ่อนค่าลง โดยเฉพาะหากอ่อนค่าทะลุโซน 34.10-34.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำ นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ที่ในระยะหลังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทสูงกว่า 70% ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทย มีแนวโน้มที่จะเห็นแรงขายหุ้นไทยเพิ่มเติม ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด
ส่วนเงินดอลลาร์ มองว่าแม้เงินดอลลาร์จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หนุนโดยภาวะปิดรับความเสี่ยง และความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ทว่าเงินดอลลาร์ก็อาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ออกมาแย่กว่าคาด