DeepSeek ป่วนหุ้นโลก สะท้อน ‘AI’ กำลังผูกขาดตลาดหุ้นสหรัฐ

DeepSeek ป่วนหุ้นโลก ฉุดหุ้นกลุ่มเทค AI ในสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ร่วงสะท้อน ‘AI’ กำลังผูกขาดตลาดหุ้นสหรัฐ นักลงทุนตั้งคำถาม ‘บิ๊กเทค’ กำลังทุ่มเงินมหาศาลเพื่อแข่งขันในตลาดนี้ คุ้มค่าหรือไม่?
บลูมเบิร์ก รายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อ “DeepSeek” สตาร์ตอัปสัญชาติจีน ผู้พัฒนาโมเดล AI ต้นทุนต่ำได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น จุดกระแสความกังวลของนักลงทุนว่ามูลค่าหุ้นของบิ๊กเทคนั้นอาจไม่คุ้มค่ากับความเป็นจริง
ดัชนี Nasdaq 100 ร่วงลงอย่างหนักถึง 3% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.5% ทำให้มูลค่าตลาดลดลงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ และหุ้นของบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ “อินวิเดีย” Nvidia ร่วงลงอย่างหนักถึง 17% สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาด AI ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งครองส่วนแบ่งเกือบ 40% ใน S&P 500
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา S&P 500 ได้สร้างสถิติใหม่จากกระแส AI เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในสหรัฐมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก
แม็กซ์ โกห์มัน รองประธานอาวุโสของ Franklin Templeton Investment Solutions กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอนสูงมาก เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นเร็วมาก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้ตลาดทั้งระบบเกิดความผันผวนได้
‘AI’ กำลังครองตลาดหุ้นสหรัฐ
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” หรือว่า AI ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 92% จากปี 2566 ส่งผลให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 14 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้บริหาร และผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมาก
ตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ถูกครอบงำโดยบริษัทเทคโนโลยีใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง เช่น Nvidia, Microsoft, Alphabet บริษัทแม่ของ Google และ Youtube , Amazon, และ Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ที่ล้วนแล้วแต่มีโปรเจกต์ด้าน AI ซึ่งมีอิทธิพลต่อดัชนี S&P 500 อย่างมาก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพียงแค่ Nvidia บริษัทเดียวก็มีส่วนทำให้ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นถึง 4% และกลุ่ม “7 หุ้นนางฟ้า” สร้างกำไรให้กับดัชนี S&P 500 เกือบ 60% ซึ่งผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากทั่วโลกให้ไหลเข้ามาเรื่อยๆ
นักวิเคราะห์ของ BofA มองว่านี่อาจหมายถึง "จุดสูงสุดของการผูกขาด" ความยิ่งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่เหล่านี้อาจจะถึงจุดสูงสุดแล้วก็ได้ โดยการศึกษาของ McKinsey พบว่า อายุเฉลี่ยของบริษัทที่อยู่ในดัชนี S&P 500 นั้นลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ในปี 2501 บริษัทเหล่านี้มีอายุเฉลี่ยถึง 61 ปี แต่ในปี 2566 อายุเฉลี่ยกลับเหลือไม่ถึง 18 ปี
ลงทุน AI มหาศาลคุ้มค่าแค่ไหน?
เทคโนโลยี AI ใหม่ของ DeepSeek ถูกจับจ้องเมื่อสามารถขึ้นไปติดอันดับสูงสุดใน App Store ของ Apple ได้สำเร็จกลายเป็นความท้าทายของโมเดล AI ที่มีราคาแพงกว่าอย่าง OpenAI ซึ่งจุดชนวนความคิดว่าบริษัทบิ๊กเทคใหญ่ๆ อย่าง Meta, Microsoft และ Alphabet ที่เคยทุ่มเงินมหาศาลเพิ่มขึ้นกว่า 9 เท่าไปกับการพัฒนา AI นั้นจะคุ้มค่ากับราคาหุ้นที่สูงลิ่วของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มากๆ หรือไม่
เวย-เซิน หลิง จาก Union Bancaire Privee บอกว่า DeepSeek พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถสร้าง AI ที่เก่ง และราคาถูกได้ ไม่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลเหมือนแต่ก่อน การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอาจทำให้บริษัทใหญ่ๆ ที่เคยลงทุนไปเยอะ ต้องคิดหนักขึ้นในการลงทุนต่อไป
ขณะเดียวกัน Nvidia มองว่าการที่ DeepSeek พัฒนา AI ได้เก่งขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Nvidia มองว่าการทำงานของโมเดล AI ยังต้องพึ่งพาชิปประมวลผลของ Nvidia จำนวนมาก
พอล โนลเต้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากบริษัท Murphy & Sylvest Wealth Management ได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดหุ้นกับช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ยิงดาวเทียมสปุตนิกขึ้นสู่วงโคจรเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จุดชนวนให้เกิดการแข่งขันด้านอวกาศอย่างดุเดือด
เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ บริษัทต่างๆ จะต้องตระหนักว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าตลาดเพียงรายเดียวอีกต่อไป การที่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งประเมินมูลค่าตัวเองสูงเกินจริง เพราะคิดว่าตัวเองมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าคู่แข่ง อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป เพราะตอนนี้มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์