แฉธุรกรรม “จำนำหุ้นนอกตลาด” ตัวการ “วิกฤติเชื่อมั่นหุ้นไทย “

“วาระตลาดทุนไทย” เมื่อประเด็นหุ้นใหญ่ มีชื่อเสียง ผู้ถือหุ้นเป็นที่รู้จัก เผชิญแรงขายอย่างหนักกลายเป็นการ บังคับขายหุ้น หรือ Force sell จนมีการประกาศรื้อเกณฑ์ปล่อยมาร์จิน หรือบัญชีกู้ยืมออกมาจากสำนักงาน ก.ล.ต. พร้อมเรียกประชุมหารือกับธุรกิจโบรกไปวานนี้ (13 ม.ค.)
จากหุ้นที่เผชิญปัญหา Force sell กลายเป็นหุ้นที่ถูกจับตามองและเมื่อเกิดขึ้นกับหลายหุ้นได้กลายปัจจัยกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ปรากฎความจริง”บัญชีมาร์จิน” กลับ “ไม่ใช่ผู้ร้าย” ในเหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นการ “จำนำหุ้นนอกตลาด” ที่หลบเลี่ยง และไม่มีช่องทางให้ตรวจสอบได้
บัญชีมาร์จินในระบบเป็น บัญชีกู้ยืมจากโบรกเกอร์ นำหุ้นมาค้ำประกันมีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้นหากราคาหุ้นร่วงตามที่กำหนดต้องมีการเรียกวางหลักประกันเพิ่ม (Call Magin) หากเจ้าของหุ้นไม่เติมเงินหรือนำสินทรัพย์ค้ำประกันโบรกเกอร์ต้อง Force sell หุ้นนั้น
ข้อมูลดังกล่าวจะต้องมีการรายการธุรกรรมให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. รับทราบ และเปิดข้อมูลว่าหุ้นที่วางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหุ้นอะไร มีสัดส่วนเท่าไร ด้วยกลไกที่มีการ Force sell เป็นการป้องกันความเสี่ยงการปล่อยมาร์จินไปด้วย
ปัจจุบัน “จำนำหุ้นนอกตลาด” ปรากฎให้เห็นมีเกิดขึ้นจริง และเป็นธุรกรรมที่มีมานานแต่ไม่เกิดเป็นเคสในตลาดหุ้นด้วยราคหุ้นไม่ลงมาแรง และ เจ้าของที่จำนำหุ้นมี “หน้าตัก” ที่จะเข้ามาวางมาร์จินเพิ่ม
ที่สำคัญยังมีการหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้ง่าย เช่น การให้ เจ้าของโอนหุ้นเข้ากองทุนส่วนบุคคคล (Private Fund) เพื่อไม่ต้องรายงานหรือถูกตรวจสอบ ตัวกลางได้ผลตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียม มีหน้าที่หาผู้กู้ให้ผ่านดอกเบี้ยที่สูง รวมทั้งทำสัญญากันเองระหว่างผู้กู้และตัวกลางแบ่งเปอร์เซนต์กำไรกรณีหุ้นขึ้น ตรงกันข้ามหุ้นลงต้องนำหุ้นหรือสินทรัพย์มาเติมหากไม่ได้เจอ Force sell เช่นกัน
ที่น่ากังวลใจกลับกลายเป็นธุรกรรมดังกล่าว "กลับไล่ตามจับหรือตรวจสอบได้ยาก" โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลจำนำหุ้นของผู้ถือหุ้น ที่ตาม พรบ. หลักทรัพย์ไม่ได้กำหนด และหากบังคับให้เปิดเผยจริงว่าจำนำหุ้นเท่าไรจะเข้าข่ายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุเกณฑ์จำกัดการปล่อยมาร์จินยังไม่เป็นทางการยึดตามแนวทางที่มีการเฮียริ่งจนถึง 4 ก.พ. 2568 แต่มีการหารือกันก.ล.ต. และโบรกเกอร์วานนี้ (13 ม.ค.) หลักเป็นการป้องกันไม่ให้โบรกปล่อยกู้เกินฐานะบริษัท เป็นการปกป้องความเสี่ยงในอุตสาหกรรม
อีกด้านกำชับปล่อยกู้ดูความสมเหตุสมผลตามหลักการคือ เพื่อซื้อหลักทรัพย์แต่ปรากฎนำเงินกู้ที่ได้ไปซื้อลงทุนอย่างอื่นแบบไม่ถูกวัตถุประสงค์ พอเกณฑ์เข้มงวดขึ้นจะป้องกันการปล่อยกู้กระจุกตัวเพราะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นละแรงจูงใจการปล่อยมาร์จิน
ปัญหาเกิดขึ้นในตลาดหุ้นคือ เวลา force sell ไม่ได้มาจากกู้เงินผ่านบัญชีมาร์จินในระบบ เป็นการจำนำและปล่อยกู้นอกระบบระหว่างกันเอง จนถูกบังคับขายจุดนี้ไม่มีสัญญาณหรือมาแจ้งเตือนให้นักลงทุนรับทราบกันก่อนได้เลย
โดยมีการเสนอว่าให้ รายงานการจำนำหุ้นของเจ้าของหุ้นและผู้ถือหุ้นให้นักลงทุนได้รับทราบมีช่องว่างที่ไป "บังคับให้รายงานได้ยาก" หากเป็นผู้บริหารต้องมีการเปิดเผยอยู่แล้วตามเกณฑ์ก.ล.ต. แต่ในส่วนผู้ถือหุ้นถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องการนำหุ้นที่เป็นสิทธิของตนเองไปใช้จำนำและนำเงินไปใช้ส่วนตัว ตามปกติใช้รถ บ้าน ที่ดิน สินทรัพย์อื่นซึ่งเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดเผยอยู่แล้วว่ามีเงินกู้อะไรบ้าง
ดังนั้นจึงเป็นจุดตีว่าเป็นข้อมูลส่วนตัว เป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องเปิดเผยข้อมูลได้หรือไม่ โดยหลักกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปบังคับให้ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างทำธุรกรรมอะไรบ้าง บางเคสไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแต่ต้องการจำนำหุ้นซึ่งไม่ได้มีปัญหาก็มีจำนวนมาก
“สิ่งที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนการไปตั้งคำถามกับบริษัท ด้านผลประกอบการ และฐานะการเงิน หากบริษัทดี มีมูลค่าดีหากเจอแรงขายจะมีแรงซื้อเข้ามาซัพพอร์ต ต่างจากหุ้นที่มูลค่าลดลงหรือมีความเสี่ยงเมื่อมีแรงขายเยอะความไม่มั่นใจในพื้นฐานไม่มี”







