หุ้นไทยยังมีหวัง 'แซนต้าแรลลี่' สถิติผลตอบแทนสัปดาห์สุดท้าย 100%

เปิดสถิติสัปดาห์สุดท้ายตลาดหุ้นไทยปรากฏการณ์ "แซนต้าแรลลี่" ยังมีหวัง บล.กรุงศรี ให้ 3 ปัจจัยหุ้นปรับตัวลง - เงินซื้อหุ้น TESG และ GDP ฟื้นตัวต่อเนื่อง ลุ้นผลตอบแทน 100% เฉลี่ย 1.5% บล.เมย์แบงก์ให้น้ำหนัก 70% เน้นลงทุนหุ้นเข้าเงื่อนไข 5 ข้อ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี วิเคราะห์ช่วง Santa’s Rally ที่กำลังเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2567 โดยประเมินองค์ประกอบหลายด้านสนับสนุนมีโอกาสเกิด แซนต้าแรลลี่ ดังเช่น 5 ปีย้อนหลังมักเกิด Santa' Rally ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี
โดยมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวก 100% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย+1.5% นำโดย
1.)ตลาดหุ้นปรับฐานลงมาต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ในโซนลงทุนระยะกลาง-ยาว คือ มี Current Equity Risk Premium 4.09% ขณะที่มี Forward Equity Premium ที่ 4.82% vs ระดับค่าเฉลี่ย AVG + 1 S.D. ที่มักเป็นจุดกลับตัวของตลาดกรณีไม่มีภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
2.)คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศ กองทุน ThaiESG น่าจะเร่งขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี
และ 3.)เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว คาด GDP งวด 4Q24 ขึ้นทำจุดสูงสุดของปี 2024 +4.0% หนุนทั้งปีเติบโต 2.7% และเติบโตต่อเนื่องอีก 2.9% ในปี 2025F โดยยังไม่รวม Upside เพิ่มเติมมาตรการกระตุ้นบริโภคที่รัฐฯ จะอนุมัติเพิ่มเติมสัปดาห์นี้
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) สถิติของ SET Index ครึ่งเดือนหลัง(2H) ของ ธ.ค.ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 1%ด้วยความน่าจะเป็น 70% โดยแรงหนุนหลักมาจาก นักลงทุนสถาบันประเทศที่ซื้อสุทธิเฉลี่ยในช่วง 2Hของ ธ.ค.เฉลี่ย 6.3 พันล้านบาท มีน้ำหนักมากกว่าแรงขายของต่างชาติที่จะเริ่มเบาลง
สาเหตุหลักของนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิเร่งตัวขึ้นในช่วง 2H ธ.ค.เนื่องมาจากเม็ดเงินของกองทุนประหยัดภาษีที่เร่งตัวขึ้นช่วงท้ายของปี ซึ่งตรงกันข้ามกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่จะค่อยๆ เบาลง เนื่องจากการเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว
สำหรับ SET Index ปัจจุบันซื้อขายบน PER68E 14.5เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี เกือบ -1 S.D.ถือว่าไม่แพง และยังมีโอกาสได้แรงหนุนจากเม็ดเงินของกองทุน TESG ช่วงโค้งสุดท้ายเข้าสนับสนุน ขณะที่ต่างชาติ คาดว่าแรงขายจะค่อยๆ ลดลง จึงเชื่อว่าใน ช่วง 2H ของ ธ.ค.ปีนี้ SET Index ยังมีลุ้นฟื้นตัว
แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดฟื้นช่วงท้ายปี จากแรงหนุนของสถาบันฯ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. หุ้นSET ESG Rating อยู่ตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป
2.PER67 ซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
3. แนวโน้มกำไรปี 68 ขยายตัวมากกว่า 10%
4. ผลตอบแทน YTD < 0 หรือ QTD<0 แต่ช่วง 2H เดือนธ.ค.66 ขึ้นมากกว่าSET
5. Market Cap > 1 หมื่นล้านบาท และมี Upside เมื่อเทียบกับ Fair Value > 10%จากเกณฑ์ข้างต้น แนะนำเก็งกำไร 5 หุ้นเด่น CK - CRC - ICHI - MINT และ MTC
นายณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนปี 2568 ยังจับตาไปที่การบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลังและลดความต้องการในดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลจากโอกาสกีดกันการค้าที่สูงขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐในระยะกลางนักลงทุนจึงมองหาตลาดที่มีสัดส่วนหุ้นคุณค่าสูงทดแทนตลาดที่เติบโตสูง เช่น สหรัฐ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งตลาดไทยและจีนตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน
หุ้นเด่นในกลุ่มคุณค่าปี 2568 ที่น่าสนใจ
- หุ้นกลุ่มบริการและค้าปลีก: BDMS, CPN, CPALL ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง และราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป
- หุ้นกลุ่มการเงิน: KBANK, SCB, TTB, KKP, BLA ที่ได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ
ด้วยสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ที่อาจค้างระดับสูงยาวนาน หุ้นกลุ่มคุณค่าจึงยังมีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่สูงขึ้น (Re-rating) ได้ดีกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่ต่ำลง (De-rating) โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น และตอบสนองต่อกระแสเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภาคนี้
“ตลาดไทย และจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าสนใจด้านมูลค่า และโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายณัฐวุฒิ กล่าวปิดท้าย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์






