“ตัน อิชิตัน “ ลั่นเดินหน้าทุบสถิติใหม่ รายได้ – กำไร แรงหนุนข้ามปี 68

“ตลาดชาเขียว” ของไทยไม่เคยขาดผู้เล่นที่เขย่าตลาด “ตัน ภาสกรนที” หลังจากพลักดัน บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เข้าสู่ตลาดนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ปัจจุบันมีไลน์สินค้ามากถึง 25 รสชาติใน 7 สายผลิตภัณฑ์ด้วยกำลังการผลิต 1,500 ล้านขวดต่อปี และ 200 ล้านกล่องต่อปี
รวมทั้งยังสามารถ “รั้งตำแหน่งทางตลาดอันดับต้นของอุตสาหกรรม” พอจะการันตรี การเป็น “ผู้นำแบรนด์เครื่องดื่มชาเขียว” ในไทยได้อย่างเหนี่ยวแน่น แม้จะเผชิญปัจจัยลบทั้งการเข้าไปลงทุนในตลาดอินโดนีเซียที่ใช้ระยะเวลานานกว่าจะคืนทุน การซื้อแบรนด์ “ไบเล่” แต่ยังไม่สามารถทำกำไรได้ รวมทั้งกำไรลดลงจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำตาล ปี 2566
ด้านราคาหุ้นที่เคยสร้างปรากฎการณ์พีคสุด 29 บาท (2557) ปรับตัวลดลงตามความคาดหวังหายไปจนราคาหุ้นต่ำกว่า 10 บาทแต่ล่าสุดอยู่ที่ 15 บาท (30 ส.ค.67) ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 3 ปี
ด้วยยอดขายปี 2566 ที่ 8,085 ล้านบาทสถิติ All Time High และรอบ 6 เดือนปี 2567 มีรายได้ ที่ 4,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1 % แต่ไฮไลท์คือ คงเป้าหมายปีนี้ด้วยรายได้ 9,000 ล้านบาท และปี 2568 แตะ 10,000 ล้านบาท ฝ่าปัจจัย seasonal ธุรกิจเครื่องดื่มที่เติบโตน้อยสุดครึ่งปีหลัง
“ตัน ภาสกรนที” กรรมการผู้อำนวยการ และกรรมการ ICHI ปักธงเป้าหมายยอดขายปีนี้ ที่ 9,000 ล้านบาท และครึ่งปีหลังมียอดขายมากกว่าครึ่งปีแรก มาจาก 3 ปัจจัยคือควบคุมต้นได้ดีการดึงไลน์จ้างผลิต (OEM) มาผลิตเอง และการออกสินค้าเพิ่ม 5 โปรดักส์
ปัจจัยด้านต้นทุนวัตถุดิบ คาดการณ์จะไม่เปลี่ยนแปลงรุนแรงในไตรมาส 3 และ 4 และต้นทุนการขายและบริการ – ต้นทุนการตลาดจะลดลงจากครึ่งปีแรกใช้ไป 204 ล้านบาท ทั้งปีอยู่ที่ 380 ล้านบาท หรือ 4.22 % เนื่องจากไม่ต้องโหมตลาดแข่งขัน
เนื่องจากเครื่องจักรดังกล่าวมีส่วนช่วยเพิ่มยอดขาย ปี 2568 แตะ 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีการเดินเครื่องสิ้นปีมีไลน์ผลิตใหม่เป็น 1,700 ล้านขวดต่อปี ส่วนปี 2567 มีการ ดึงการผลิต OEM มาทำเองในกลุ่ม UHT เพิ่มได้อีก 200 ล้านกล่องต่อปี มีสัดส่วนรายได้ 800 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก 2567และมีผลดีต่อกำไรขั้นต้น(GP)
“กำไร GP ครึ่งปีแรก 26 % มาจากกำลังการผลิตเต็ม 77 % หากต้นทุนคงที่ทั้งน้ำมันและน้ำตาลตัวเลขที่วางไว้ไม่กังวล และยังหวังว่ากำไรสุทธิครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกภายใต้ต้นทุนไม่ได้เปรียบแปลงมาก “
นอกจากนี้ยังมีข่าวบวก “พันธมิตร” บริษัท ฮอน ชิน (ประเทศไทย) เข้ามาหลังเจรจาขายที่ดินใกล้กับโรงงานอยุธยา 72 ไร่ ซึ่งแนวโน้ม 90 % อยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งโรงงานกับทาง BOI เบื้องต้นหากดำเนินการได้มูลค่ารับรู้เข้ามาบันทึกเป็นรายการพิเศษเบื้องต้น 360 ล้านบาท แต่หากไม่ผ่าน BOI ปรับเป็นการเช่าระยะยาวแทนแต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา
ทางพันธมิตรจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิตเบื้องต้นอยู่ที่ 300 ล้านขวดต่อปี และจะเป็นการช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้กับ ICHI ไปด้วย โดยเฉพาะไลน์ผลิตที่ไม่เก่งหรือผลิตได้น้อยจะมีทางพันธมิตรกลุ่มนี้เข้ามาเสริมภายใต้ยอดขายเกิน 10,000 ล้านบาทไปแล้ว คาดการณ์ว่า GP จะขยับมาอยู่ที่ 27 %
“เบื้องต้นเจรจาพันธมิตรวางแผนผลิตเพิ่มได้สิทธิเป็นลำดับแรก และไม่มีขั้นต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อ ICHI เพราะโรงงานคล้ายกันแต่ทางกลุ่มนี้ไฮสปีดผลิตจะดีกว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ประโยชน์ในระยะยาวมากกว่า แลกกับไม่ต้องมีความเสี่ยงเหมือนในอดีต เรียกว่า คุ้มมากกว่าเสีย ”
และปัจจัยสุดท้ายเรียกได้ว่าเป็นอาวุธสำคัญสินค้าที่ทำยอดในตลาดภายในประเทศด้วย ออกสินค้าใหม่ 5 ตัว มี “น้ำดื่มองุ่นเคียวโฮ” ออกขายสิ้นเดือนส.ค. “ ชามะลิ” เป็นตลาดที่แข่งขันรุนแรงแต่ ICHI เป็นเซ็กเมนต์พรีเมี่ยนวัดที่รสชาติและกลิ่น “ชาแอปเปิ้ล” มีขายเฉพาะ 7-11 “ตันซันซู” จะนำกลับมาขายอีกรอบ และ“ชาเขียว”
อย่างไรก็ตาม ICHI ยังมองหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม เพื่อเป็น "New Business" สร้าง S curve ซึ่งที่ผ่านมามีหลายบริษัทมานำเสนอแต่ยังไม่ชัดเจน ด้วยบริษัทไม่ได้มีกำไรสูงมากหากธุรกิจไหนไม่ชัวร์ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุน เพราะไม่มีนโยบายรับความเสี่ยงยังต้องระมัดระวัง รอให้มั่นใจเกิน 80 % จริงถึงจะตัดสินใจลงทุน
ด้านการขยาย ตลาดต่างประเทศ ประเทศอินโดนีเซีย ยังเป็นตลาดใหญ่และโอกาสสูงมาก ล่าสุด ปี 2566 มีกำไรรับรู้เข้ามา 102 ล้านบาท แม้ว่ายอดขายครึ่งปีแรก 2567 จะเห็นการลดลงถึง 90% แต่เนื่องจากมีการปรับโฉมใหม่ของสินค้าจากการเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบทำให้ต้องเก็บสินค้าเก่าและค่อยออกสินค้าใหม่ พร้อมกับการทำแคญเปญ “แจกเงิน” มูลค่า 300 ล้านรูปี (6.6 แสนบาท) ซึ่งได้กระแสตอบรับดีมากเหมือนกลยุทธ์ที่เคยทำในประเทศไทยแต่ที่อินโดนีเซียดำเนินการถูกกฎหมาย
ดังนั้นยอดขายส่วนนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นช่วงปลายไตรมาส 3 นี้แต่ยังไม่ได้หวังสามารถทำกำไรอัตราที่สูงมากเพราะต้องการเน้นขยายฐานให้ทั่วถึงเพื่อขยายสินค้าที่สำคัญกว่า ด้วยประเทศอินโดนีเซียมีขนาดที่ใหญ่และกระจัดกระจายทำให้ทำการตลาดได้ยากกว่าไทย หากปีนี้มี มีกำไร 40 ล้านบาทถือว่าเป็นที่พอใจแล้ว
ตัน ภาสกรนที ยังกล่าวถึงผู้ถือหุ้นอีกด้วยว่า ICHI ไม่มีภาระหนี้หากผลประกอบการเติบไม่จำเป็นต้องเก็บเงินสดไว้จำนวนมาก ดังนั้นมีโอกาสที่จะเสนอบอร์ดปรับเปลี่ยนเพิ่มปันผลระหว่างกาลจากปีล่าสุดจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 1 บาท






