ชำแหละพอร์ตหุ้น กระทรวงการคลัง ผลตอบแทนราคาดิ่งเกินกว่าครึ่ง

ชำแหละพอร์ตหุ้น กระทรวงการคลัง ผลตอบแทนราคาดิ่งเกินกว่าครึ่ง

ชำแหละพอร์ตหุ้น กระทรวงการคลัง ผลตอบแทนราคาดิ่งเกินกว่าครึ่ง หุ้น BEYOND ราคาตั้งแต่ต้นปีติดลบมากสุด 17.80% "กูรู" ระบุ หากปรับพอร์ตขายหุ้นจริง ต้องชี้แจงให้ชัดเจน

กระทรวงการคลัง นอกจากมีสถานะเป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางประเภทกระทรวงของไทยแล้ว ยังเป็นนักลงทุนสถาบันระดับบิ๊กเบิ้มเบอร์ต้นๆ ของตลาดหุ้นไทยที่มีการกระจายการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งสิ้น 13 หลักทรัพย์ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนหลังจาก ‘เผ่าภูมิ โรจนสกุล’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  มอบนโยบาย ให้ สคร.ทบทวนการถือครองหลักทรัพย์ของรัฐโดยกระทรวงการคลัง ชี้หุ้นไหนไม่จำเป็นต้องถือไว้ให้จำหน่ายออกไป 

โดย ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความคิดเห็นกรณีเรื่องดังกล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่กระทรวงการคลัง จะลดสถานะการถือครองบริษัทที่มีความสำคัญของรัฐลงนั่นมองว่า ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลว่ามีเป้าหมายในการลดขนาดรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ขณะที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งที่มีความจำเป็น สำคัญสำหรับประเทศ เช่น ไฟฟ้า พลังงาน มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า หากมีการถือครองโดยเอกชนแล้วทำให้ของนั้นมีราคาที่แพงขึ้น 

และหากรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ก็ต้องออกมาอธิบายให้ประชาชนได้ฟังอย่างชัดเจนว่า ลดสัดส่วนเหล่านี้แล้ว ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไร ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้นออกไปจะนำไปใช้ทำอะไร แต่ในแง่ของตลาดก็มีทั้งผลดี และไม่มี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการถือหุ้นที่รัฐบาลเคยถืออยู่ที่มีความสำคัญผ่านตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากในตลาดหุ้นที่สำคัญมีหลายหลักทรัพย์ที่รัฐบาลถือในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก 

แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้เหมือนมีอำนาจรัฐที่แฝงอยู่ในตัวหรือไม่ หากมีก็เหมือนกับเป็นการโอนอำนาจผูกขาดของรัฐให้กับเอกชนบางรายได้ผูกขาดไปด้วย แต่ในสังคมตะวันตกมีการใช้วิธีการโอนเช่นนี้ค่อนข้างมาก เช่น ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น 

“รัฐบาลต้องออกมาอธิบายกับประชาชนให้ชัดเจน เพราะมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความรู้สึกของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นแบงก์ หุ้นพลังงาน หากมีการขายออกไป เพราะประชาชนมองว่า เป็นทรัพย์สมบัติของชาติ เพราะถือว่าเป็นนโยบายใหญ่ที่ต้องออกมาอธิบาย แต่ถ้าย้อนกลับไปในอดีตไม่ค่อยมีใครที่จะกล้าทำ เพราะอาจจะโดนฝ่ายค้านออกมาโจมดีได้ เพราะหุ้นส่วนใหญ่ที่รัฐบาลเข้าถือส่วนใหญ่เป็นหุ้นตัวใหญ่ ๆ”

นอกจากนี้มองว่า ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน P/E เกือบจะต่ำที่สุดในโลก มาจากสาเหตุที่ประเทศไม่เจริญเติบโต ประชากรเป็นหนี้มาก และปัญหาความไม่มั่นคง ไม่แน่นอนทางการเมือง  

ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากกระแสข่าวที่ออกมาว่ากระทรวงการคลังจะมีการปรับพอร์ตหุ้น โดยอาจจะมีการขายหุ้นบางส่วนที่ถือครองออกไป ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เห็นวัตถุประสงค์ว่า จะขายออกมาเพื่ออะไร เนื่องจากงบปี 2567 ออกมาให้ได้นำมาใช้แล้ว จึงมองว่า ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องขาย 

ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังมองว่า การนำหุ้นบางส่วนออกมาขายเพราะได้กำไรดี เท่าที่เห็นมีแค่หุ้น TTB ที่น่าขาย ขณะที่หุ้น AOT ส่วนตัวมองว่า ราคายังคงต่ำเตี้ยอยู่ หากเทียบกับหุ้น TTB ที่มีการควบรวมกับธนชาตมีการปรับขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วน BCP มองว่า ถ้าขายก็จะได้ราคาเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ยังไม่เห็นเหตุผลว่าจะขายทำไม เพราะหุ้น BCP สามารถสร้างเงินปันผล และส่วนแบ่งกำไร 

“หุ้น TTB มองว่าทุนค่อนข้างสูง เมื่อขายไปแล้วไม่รู้ว่าจะได้กำไรหรือไม่ ส่วน BCP มองว่าก็สามารถขายได้ แต่จะไปเสียวัตถุประสงค์อะไรบ้างหรือไม่ในการลงทุน เนื่องจากหุ้น BCP สามารถสร้างเงินปันผลในแต่ละปีค่อนข้างดี และส่วนแบ่งกำไร”

แต่อย่างไรก็ตาม ในภาวะตลาด ณ ปัจจุบัน ราคาหุ้นอาจจะมีการติดลบไปบ้าง แต่ส่วนตัวมองว่า อาจจะยังไม่ขาย อาจจะรอให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวฟื้นขึ้นมาก่อน เช่น หากมีกองทุน LTF ขึ้นมาแล้วกระทรวงการคลังค่อยมารอดักขายจะดีกว่าหรือไม่

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” พาไปชำแแหละ 13 หุ้น ในพอร์ตหุ้นที่กระทรวงการคลังถือครอง ว่ามีอัตราผลตอบแทนด้านราคาตั้งแต่ต้นปี 2567 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

1.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  AOT 

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 10,000,000,000  หุ้น หรือ 70% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 935,713.35 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 853,570.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82,142.77 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี +9.62% 
  • เงินปันผลรอบ 1 ต.ค.65 - 30 ก.ย.66 AOT อยู่ที่ 0.36 บาท เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 3,600 ล้านบาท
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 10,347.63 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2,203.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,144.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 369.64%

2.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 65,543,767 หุ้น หรือ 4.76% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 53,011.54 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 59,896.16 ล้านบาท ลดลง 6,884.62 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -11.49% 
  • เงินปันผลปี 2566 จ่าย 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2566 ที่ 1.00 บาท และ เมื่อ 19 ก.ย.2566 ที่ 0.50 บาท เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 131 ล้านบาท
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 2,436.78 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2,740.98 ล้านบาท ลดลง 304.2 ล้านบาท หรือ -11.10%

3.บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) BEYOND 

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 31,200,000 หุ้น หรือ 10.76% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 2,813.67 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 3,422.81 ล้านบาท ลดลง 609.14 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -17.80% 
  • ปี 2566 งดจ่ายเงินปันผล
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 67.52 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 17.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.49 ล้านบาท หรือ 296.47%

4.บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) DMT 

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 261,350,000  หุ้น หรือ 22.13% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 14,529.16 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 15,946.64 ล้านบาท ลดลง 1,417.48 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -8.89% 
  • ปี 2566 รวมจ่ายเงินปันผลทั้งปี 1.20 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 313.62 ล้านบาท 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 267.40 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 253.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.39 ล้านบาท หรือ 5.69%

5.บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) MCOT

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 452,134,022 หุ้น หรือ 15.92% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 2,061.30 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 2,184.98 ล้านบาท ลดลง 123.68 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -5.66% 
  • ปี 2566 งดจ่ายเงินปันผล
  • ไตรมาส 1/67 ขาดทุนสุทธิ -78.76 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า -59.37 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น19.39  ล้านบาท หรือ -24.61%

      
6.บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) MFC  

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 20,000,000 หุ้น หรือ 22.13% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 2,499.75 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 2,512.31 ล้านบาท ลดลง 12.56 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -0.50% 
  • ปี 2566 จ่ายเงินปันผลทั้งปี 1.30 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 26 ล้านบาท 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 49.26 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 56.41 ล้านบาท ลดลง 7.15 ล้านบาท หรือ -12.68%

7.บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) NEP 

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 295,847,860 หุ้น หรือ 12.72% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 488.33 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 441.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.51 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี +10.53% 
  • ปี 2566 งดจ่ายเงินปันผล
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1.13 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า -6.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.25 ล้านบาท หรือ 641.59%

8.บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 153,349,808 หุ้น หรือ 1.28% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 216,000.00 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 229,200.00 ล้านบาท ลดลง 13,200 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -5.76% 
  • ปี 2566 จ่ายเงินปันผลทั้งปี 0.52 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 79.74 ล้านบาท 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 3,723.20 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2,975.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 748.19 ล้านบาท หรือ 25.15%

9.บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) PTT 

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 14,598,855,750 หุ้น หรือ 51.11% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 956,860.37 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 1,021,127.12 ล้านบาท ลดลง 64,266.75 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -6.29% 
  • ปี 2566 จ่ายเงินปันผลทั้งปี 2.00 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 29,198 ล้านบาท 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 28,967.50 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 27,854.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,112.66 ล้านบาท หรือ 3.99%

10.บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) RPH

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 จำนวน 14,700,000 หุ้น หรือ 2.69% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 3,276.00 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 3,494.40 ล้านบาท ลดลง 218.4 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -6.25% 
  • ปี 2566 จ่ายเงินปันผลทั้งปี 0.19 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 2.79 ล้านบาท 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 38.84 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 36.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.85 ล้านบาท หรือ 4.99%    

11.กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ TFFIF 

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 457,000,000 หุ้น หรือ 10.00% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 29,019.50 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 29,933.50 ล้านบาท ลดลง 914 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -3.05% 
  • ปี 2566 จ่ายเงินปันผลทั้งปี 0.41 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 187.37 ล้านบาท 
  • มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV ไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 61,135.02 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 53,533.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,601.63 ล้านบาท หรือ 14.20%

12.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) TTB

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 11,364,282,005 หุ้น หรือ 11.68% 
  • มาร์เก็ตแคปล่าสุด 169,296.33 ล้านบาท เทียบสิ้นปี 2566 ที่ 162,159.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,136.85 ล้านบาท 
  • ผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี +4.19% 
  • ปี 2566 จ่ายเงินปันผลทั้งปี 0.105 บาท/หุ้น เท่ากับว่ากระทรวงการคลังรับเงินปันผล 1,193.24 ล้านบาท 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 5,333.79 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 4,294.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,039.27 ล้านบาท หรือ 24.20% 

13.บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) THAI

  • กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 1,044,737,191 หุ้น หรือ 47.86% 
  • กำไรไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 2,409.55 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 12,513.97 ล้านบาท ลดลง 10,104.42 ล้านบาท หรือ -80.75%
  • ณ ปัจจุบัน THAI อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ

ชำแหละพอร์ตหุ้น กระทรวงการคลัง ผลตอบแทนราคาดิ่งเกินกว่าครึ่ง

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์