เปิดโผ 12 หุ้น SET100 สุดเศร้า เหงาบนดอย 3 เดือนแรก ติดลบเกินกว่า 20%

เปิดโผ 12 หุ้น SET100 สุดเศร้า เหงาบนดอย 3 เดือนแรก ติดลบเกินกว่า 20%

เปิดโผ 12 หุ้น SET100 สุดเศร้า เหงาบนดอย 3 เดือนแรก ติดลบเกินกว่า 20% หุ้น KCE ผลตอบแทนราคาติดลบมากสุด 27.73% ขณะที่ FORTH ติดลบรองลงมาที่ 26.09%

KEY

POINTS

  • หุ้น SET100 ช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 ติดลบเกินกว่า 20% หุ้น KCE ผลตอบแทนราคาติดลบมาสุด 27.73% ขณะที่ FORTH ติดลบรองลงมาที่ 26.09%
  • บล.ทิสโก้ เผย หุ้นกลุ่ม SET100 ช่วง 3 เดือนที่ปรับตัวลงมาโดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก มองว่า นักลงทุนต้อง SELECTIVE เนื่องจากทิศทางส่งออกยังมีความไม่แน่นอน
  • บล.พาย ระบุกลุ่มท่องเที่ยวช่วงไตรมาส 2/67 เป็นช่วงโลซีซั่นจะเงียบไม่เด่นมาก แม้ว่าจะมีเทศกาลสงกรานต์ หากเทียบกับช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ที่ถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น

เปิดโผ 12 หุ้น SET100 สุดเศร้า เหงาบนดอย 3 เดือนแรก ติดลบเกินกว่า 20% หุ้น KCE ผลตอบแทนราคาติดลบมากสุด 27.73% ขณะที่ FORTH ติดลบรองลงมาที่ 26.09%

ตลาดหุ้นไทยผ่านพ้น 3 เดือนแรก หรือไตรมาสแรกของปี 2567 ไปแล้ว ในแบบยังไม่ได้ดั่งใจของนักลงทุนมากนัก ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะ Sideway Down ต่อเนื่องจากปีก่อน นักลงทุนต่างชาติ ควงแขนนักลงทุนสถาบัน พร้อม กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทขายอย่างต่อเนื่อง มีเพียงนักลงทุนรายย่อยที่ยังคงซื้อสุทธิ และถ้าโฟกัสไปที่ ดัชนี SET100 ที่เป็นแหล่งชุมนุมของหุ้นดังๆ 100 หลักทรัพย์ พบว่ามีหลายหลักทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลัง 3 เดือน ติดลบเกินว่า 20% ขึ้นไป

เปิดโผ 12 หุ้น SET100 สุดเศร้า เหงาบนดอย 3 เดือนแรก ติดลบเกินกว่า 20%

1.บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -27.73%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 3.27%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 40.00 บาท 
  • P/E 27.33 เท่า 

2.บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -26.09%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 2.76%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่่ 16.50 บาท 
  • P/E 27.77 เท่า 

3.บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -25.35%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 2.52%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 39.75 บาท 
  • P/E 19.99 เท่า

4.บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -25.35%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 1.11%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 41.25 บาท 
  • P/E 116.19 เท่า

5.บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -25.21%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 4.14%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 18.20 บาท 
  • P/E 9.99 เท่า

6.บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -23.33%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 1.42%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 63.00 บาท 
  • P/E 32.87 เท่า

7.บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -22.60%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 1.55%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 11.60 บาท 
  • P/E 34.82 เท่า

8.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -22.60%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 0.88%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 34.25 บาท 
  • P/E 16.72 เท่า

9.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -22.07%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 5.49%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 5.70 บาท 
  • P/E - เท่า

10.บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -21.24%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน - %
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 3.60 บาท 
  • P/E - เท่า

11.บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -21.02%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 3.56%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 7.00 บาท 
  • P/E 18.86 เท่า

12.บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

  • ผลตอบแทนราคาย้อนหลัง 3 เดือน -20.83%
  • อัตราเงินปันผล 3 เดือน 1.93%
  • ราคาปิด ณ 1 เม.ย.67 ที่ 29.25 บาท 
  • P/E 23.31 เท่า

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แกว่งตัวในกรอบจำกัด กรอบบนอยู่แถว 1,405 จุด กรอบล่างอยู่แถว 1,350 จุด ถือว่ากรอบแกว่งไม่ไปไหนเลย หากเทียบจะคล้ายกับช่วงก่อน 3 เดือนหน้านั้น ในไตรมาส 4/66 ปัจจัยที่ทำให้ตลาดไม่ได้ไปไหน เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 4/66 ออกมาไม่ค่อยดี และมีการปรับลดจีดีพีลงมาด้วย ซึ่งก่อนหน้าคาดการณ์ว่า จะสามารถเติบโตได้ 3% ขึ้น แต่ปัจจุบันมีการทยอยปรับประมาณการจีดีพีลงมา ล่าสุด เวิลด์แบงก์ได้มีการปรับลดจีดีพีลงมาเหลือ 2.8% 

ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/66 ยังคาดหวังเพื่อรอทะลุก้าวข้ามผ่าน 1,400 จุดได้ หลักๆ น่าจะมาจากงบประมาณที่ผ่านสภาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้น่าจะมีการใช้จ่ายได้ที่เร่งตัวขึ้นมา โดยเฉพาะงบลงทุนที่จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น 

และในไตรมาส 2/66 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักว่า กนง.น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งในวันที่ 10 เมษายน นี้ จะมีการประชุม กนง. ซึ่งบาง บล.ก็มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย หรือคงอัตราดอกเบี้ยยังคงต้องรอลุ้นอีกที แต่คาดว่า มติน่าจะมีการอยากให้ลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า ซึ่งก็จะเป็นผลดีกับราคาหุ้น

ด้าน หุ้นกลุ่ม SET100 ช่วง 3 เดือนที่ปรับตัวลงมาเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก มองว่า นักลงทุนต้อง SELECTIVE เนื่องจากทิศทางส่งออกยังมีความไม่แน่นอน โดยแนะนำนักลงทุนในช่วงไตรมาส 2/66 ควรหาจังหวะเข้าไปสะสม เพราะดาวไซด์เริ่มจำกัด ส่วนอัพไซด์สามารถเข้าไปสะสมได้ โดยนักลงทุนสามารถคาดหวังในช่วงครึ่งปีหลังได้ หลังจากที่คาดว่า โมเมนตัมเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น รวมถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ย

โดยกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มท่องเที่ยว เช่น กลุ่มโรงแรม กลุ่มโรงพยาบาล เช่น CENTEL ERW MINT และ BDMS รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยลด เช่น กลุ่มไฟแนนซ์ เช่น MTC AEONTS และกลุ่มอสังหฯ ซึ่งนักลงทุนอาจจะเลือกหุ้นอสังหาฯ ที่มีการเงินที่แข็งแกร่ง เช่น AP 

ส่วนกลุ่มที่ให้น้ำหนัก Underweight เป็นกลุ่มแบงก์ เนื่องจากหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะได้รับผลกระทบในความสามารถในการทำงานของกลุ่มนี้ลง 

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยไตรมาสแรกค่อนข้างผิดหวังติดลบไปประมาณ 2.7% ซึ่งก่อนหน้ามีการคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2567 นี้ เพราะว่าเดิมทีมีปัจจัยบวกค่อนข้างมาก ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีการส่งสัญญาณว่า จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 

“ปีที่ผ่านมา ทุกคนคาดการณ์ว่าหุ้นไทยน่าจะดี เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ถึง 3.4 -3.5% ในปีนี้ และหลายคนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางน่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ เพราะฉะนั้นแรงกดดันของดอกเบี้ยสหรัฐก็จะลดน้อยลง แถมเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณดี น่าหนุนเป็นปัจจัยบวกให้กับเศรษฐกิจไทย และตลาดหุ้นไทย แต่สิ่งที่ปรากฏภาพไม่ได้เป็นเช่นนั้น พอเข้าสู่เดือนม.ค.67 มีการปรับลดประมาณการลง ล่าสุดแบงก์ชาติปรับจีดีพีไทยเหลือประมาณ 2.7-2.8% บวกกับเศรษฐกิจโดนเรื่องปัญหาส่งออกด้วย ช่วงไตรมาสแรก ส่งออกไทยโตไม่ค่อยดีมากนัก หรือต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และนโยบายภาครัฐออกมาค่อนข้างช้า เช่น เงินดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่มีความชัดเจน เป็นต้น”

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า มีปัจจัยบวกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เพราะในช่วงตรุษจีนมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้  แต่สุดท้ายแล้วตัวเลขที่นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาไทยก็ยังไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจไทยได้ เพราะไทยยังประสบปัญหาส่งออกโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

และช่วงในไตรมาส 1/66 หุ้นกลุ่มหลายๆ ตัวยังไม่สามารถ Perform ได้ ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีก็ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก เพราะราคาปิโตรเคมีไม่ได้ฟื้นตัวตามราคาตลาดโลกสักเท่าไร ขณะที่เซกเตอร์แบงก์ก็ต้องประสบกับปัญหาเรื่องของดอกเบี้ย เพราะหลายคนคาดการณ์ว่า แบงก์ชาติน่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ ก็จะทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย หรือกำไรของกลุ่มแบงก์ไม่ดีเหมือนกับปีก่อนหน้า

ส่วนกลุ่มพลังงานราคายังแกว่งตัว ขณะที่ค้าปลีกกำลังซื้อยังไม่ได้ฟื้นตัวดีมากนัก และกลุ่มอสังหาฯ ก็ยังประสบกับการถูกปฏิเสธการขอสินเชื่อไปค่อนข้างเยอะเช่นกัน 

ขณะที่ไตรมาส 2/67 ยังไม่ได้มองบวกมากนัก เพราะว่า ปัญหาเศรษฐกิจส่งผลให้การฟื้นตัวยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยคาดว่าส่งออกในไตรมาส 2/67 น่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา น่าจะทำให้ความต้องการสินค้าจากไทยมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นมาได้ ทำให้การส่งออกนั้นอาจจะเป็นตัวหนุนของการบริโภคเริ่มกลับมาเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นมาได้บ้าง 

ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 2/67 เป็นช่วงโลซีซั่นจะเงียบไม่เด่นมาก แม้ว่าจะมีเทศกาลสงกรานต์ หากเทียบกับช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ที่ถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น เพราะหากดูตัวเลขในช่วงเดือนเมษายน จะลดลงจากเดือนมีนาคม 

โดยกลยุทธ์การลงทุน ควรพยายามเกาะกับหุ้นที่ยังมีปัจจัยบวกอยู่ โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากกลุ่มส่งออกอาหารสัตว์ เมื่อดูตัวเลข 2 เดือนล่าสุดโตเพิ่มขึ้นมาเกือบ 20% ซึ่งนักลงทุนอาจจะ SELECTIVE รายตัวหุ้นที่มีปัจจัยบวก เช่น ITC และ TU ส่วนธีมอื่นๆ ที่น่าสนใจเป็นหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจจีน เช่น ปิโตรเคมีที่วันนี้เริ่มเห็นสัญญาณหุ้น IVL เริ่มขยับขึ้นมา เป็นต้น 

ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกขณะนี้ราคาก็ยังอยู่ในโซนล่าง นักลงทุนสามารถเข้าไปเก็บสะสมได้ เพราะราคายังไม่แพงมากนัก เช่น CPALL HMPRO ส่วนท่องเที่ยวที่ผ่านมาขึ้นมาเยอะแล้วอาจจะไปต่อยากขณะนี้ และสิ่งที่ต้องจับตาให้ดีคือ แบงก์ชาติที่อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงมิ.ย.นี้ ที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ซึ่งหุุ้นที่จะได้ประโยชน์เป็นกลุ่ม คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ เช่น MTC  SAWAD และ TIDLOR เป็นต้น 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์