JCR เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ TU จาก A- เป็น A แนวโน้มมีเสถียรภาพ

JCR เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ TU จาก A- เป็น A แนวโน้มมีเสถียรภาพ

JCR เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยยูเนี่ยนสำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศจาก A- เป็น A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศจาก A- ไปเป็น A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จาก Japan Credit Rating หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพในการเติบโต และมีธุรกิจอันหลากหลายอยู่ทั่วโลกทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศนี้เป็นอันดับเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ได้รับจาก JCR พร้อมกันนี้ JCR ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินในประเทศของบริษัทไว้ที่ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพเช่นเดียวกัน

 

 

โดย JCR ระบุว่าสาเหตุที่ไทยยูเนี่ยนได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้นในครั้งนี้มาจากปัจจัยด้านความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่กระจายอยู่ในตลาดหลักทั่วโลก เช่น Chicken of the Sea ในสหรัฐอเมริกา, John West และ Petit Navire ในยุโรป ตลอดจนความมั่นคงในการสร้างผลกำไรอันเป็นผลมาจากความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก ทั้งด้านการผลิต การจัดหาวัตถุดิบ และการทำตลาด และอีกหนึ่งปัจจัยคือ การที่ไทยยูเนี่ยนตัดสินใจถอนการลงทุนส่วนน้อยในเรด ล็อบสเตอร์ ช่วยลดความเสี่ยงในการรับภาระทางการเงิน

 

นอกจากนี้ JCR ยังให้ความเห็นว่าจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนคือ การดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยมีฐานการผลิตอยู่ใน 14 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เซเชลส์ โปแลนด์ และเวียดนาม ทำให้ไทยยูเนี่ยนมีความได้เปรียบในการจัดหาวัตถุดิบจากทั่วทุกมุมโลก

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจากการลดระดับสินค้าคงคลัง และการปรับขึ้นอัตราเงินเฟ้อในหลายตลาดทั่วโลก แต่ไทยยูเนี่ยนได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าการปรับตัวอย่างรวดเร็วสอดรับการเปลี่ยนแปลงจะทำให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ผมขอขอบคุณ และภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น มั่นใจ และมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจของไทยยูเนี่ยน

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จากเป้าหมายปัจจุบันที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งสร้าง "การมีสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ หรือ Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล ไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน โดยจะเดินหน้าประกาศกลยุทธ์ระดับองค์กรตัวใหม่ (Corporate Strategy 2030) ที่จะครอบคลุมถึงปี 2573  เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมทะเลระดับโลก พร้อมสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ด้วยการขยายการลงทุนที่หลากหลายในอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นมากกว่าอาหารทะเล และเป็นผู้วางรากฐานของโภชนาการแห่งอนาคต เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้คน สัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้

ในปี 2566 ไทยยูเนี่ยนได้จัดหาสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) มูลค่า 11,485 ล้านบาท ถือเป็นการเริ่มระยะที่ 2 ของโครงการ Blue Finance หรือการบริหารจัดการ การเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเลของไทยยูเนี่ยน โดยมีเป้าหมายจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ ของการจัดหาเงินทุนระยะยาวภายในปี 2568 ซึ่งสินเชื่อ SLL นี้ จะออกให้ทั้งในสกุลเงินบาทไทย และดอลลาร์สหรัฐระยะเวลา 3 และ 5 ปี ซึ่งความสำเร็จในการจัดหาเงินทุนครั้งนี้เป็นก้าวที่สำคัญ ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของไทยยูเนี่ยนในด้านความยั่งยืน และนอกจากการเข้าถึงการเงินที่ยั่งยืนแล้ว โครงการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนของท้องทะเลยังได้รับประโยชน์ด้วย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์